
ย้อนรอย5เกมโกงความตายแห่งศึก“ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก”
เมื่อคืนวันพุธ (8 มี.ค.) ได้เกิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นในศึกฟุตบอล “ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก”
เมื่อ บาร์เซโลนา ยักษ์ใหญ่แห่งศึกลาลีกา สเปน ที่ตามหลัง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ก่อนในนัดแรกของรอบ 16 ทีม สุดท้าย ถึง 4-0 พลิกสถานการณ์ในช่วง 7 นาทีสุดทายของเกมเลก 2 กลับมาเอาชนะได้ ด้วยสกอร์รวม 2 นัด 6-5 และกลายเป็นทีมแรกของการแข่งขัน ที่สามารถพลิกเข้ารอบได้สำเร็จ หลังจากนัดแรกตามหลังด้วยสกอร์ 4-0
อย่างไรก็ตาม เกมของ บาร์เซโลนา กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการ “โกงความตาย” เกิดขึ้นในศึกยูซีแอล แต่ก่อนหน้านี้ก็มีให้เห็นมาแล้วหลายนัด ซึ่งวันนี้ทางทีมข่าวกีฬา “คม ชัด ลึก” ได้คัด 5 สุดยอดแมตช์ประวัติศาสตร์แห่งการโกงความตายในการแข่งขันฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่ ซึ่งมีทั้งการคัมแบ็คในเกมเดียว และเกมที่สอง มาแล้ว
ลา คอรุนญา 4-0 เอซี มิลาน (5-4)
รอบ 8 ทีม นัดสอง เม.ย.2004
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2004 เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญา ยอดทีมของสเปน ในขณะนั้น ต้องโคจรมาพบกับ เอซี มิลาน ที่เป็นศูนย์รวมของเหล่าสตาร์ดังระดับโลก ทั้ง เปาโล มัลดินี, ริวัลโด, ริคาร์โด กาก้า และ อังเดร เชฟเชนโก ซึ่งในเกมแรก “ปีศาจแดงดำ” โชว์ฟอร์มโหดไล่ถล่ม “ซูเปอร์เดปอร์” ไปก่อนถึง 4-1 แต่หลังเกม ฮาเวียร์ อีรูเรตา เฮดโค้ชของ คอรุนญา ในขณะนั้นกล่าวว่า “ในโลกของฟุตบอลอะไรก็เกิดขึ้นได้ รวมถึงปาฏิหาริย์” ซึ่งเกมนัดสอง ที่สนาม ริอาซอร์ สเตเดียม พวกเขาก็แสดงให้เห็นเมื่อเป็นฝ่ายไล่ถล่ม “ปีศาจแดงดำ” กลับ 4-0 จากสามประตูในครึ่งแรก และประตูปิดท้ายของ ฟราน กอนซาเลซ ในนาทีที่ 76 ผ่านเข้ารอบต่อไปแบบพลิกความคาดหมาย ก่อนโดน ปอร์โต แชมป์ในปีนั้นเขี่ยตกรอบรองชนะเลิศ
บาร์เซโลนา 4-0 เอซี มิลาน (4-2)
รอบ 16 ทีม นัดสอง 12 มี.ค.2013
การโกงความตายเกิดขึ้นกับทีม “ปีศาจแดงดำ” อีกครั้ง ในเกมเมื่อปี 2013 ที่พวกเขาต้องเจอกับ บาร์เซโลนา ซึ่งแม้เกมแรกทีมดังแห่งถิ่นซาน ซิโร จะตุนสกอร์ไว้ถึง 2 ประตูจากลูกยิงของ เควิน-ปรินซ์ บัวเต็ง กับ ซัลลีย์ มุนตารี แต่ในเกมที่ 2 ที่สนาม คัมป์ นู “เจ้าบุญทุ่ม” ที่เปิดเกมบุกแบบเต็มสูบ และได้เสียงเชียร์จากแฟนบอลที่เข้ามาชมกันอย่างเต็มสนาม กลับมารัว 4 ลูกรวด จากประตูของ ลีโอเนล เมสซี 2 ลูก, ดาบิด บียา และจอร์ดี อัลบา ทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบต่อไปได้สำเร็จ โดย เมสซี กล่าวถึงเกมนี้ว่า “พวกเรา คือ บาร์เซโลนา และนี่คือสิ่งที่ทุกคนในทีม และแฟนบอลแสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมแพ้”
เชลซี 4-1 นาโปลี (5-4)
รอบ 16 ทีม นัดสอง 14 มี.ค.2012
อีกหนึ่งสุดยอดแห่งการคัมแบ็ค โดยหลังจากที่ทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” พลาดท่าบุกไปพ่ายต่อ นาโปลี ภายใต้การคุมทีมของ วอลเตอร์ มาซซารี 1-3 ส่วนในเกมที่ 2 เชลซี กลับสู่เกมของตัวเอง โดยขึ้นนำไปก่อน 2-0 แต่ในนาทีที่ 55 โกคาน อินแลร์ มายิงประตูอเวย์โกล์ ซึ่งทำให้ เชลซี ต้องทำอีก 1 ประตูเพื่อยื้อไปถึงช่วงต่อเวลา และสุดท้ายเป็น แฟรงค์ แลมพาร์ด กองกลางตัวเก่ง ที่สังหารจุดโทษเข้าไปในนาทีที่ 75 และสุดท้ายในช่วงต่อเวลา บลานิสลาฟ อิวาโนวิช ก็มาทำประตูชัยให้ทีมผ่านเข้ารอบต่อไปได้ ซึ่งจากนั้นพวกเขาผ่านด่านทั้ง เบนฟิกา, บาร์เซโลนา และบาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์ยูซีแอล เป็นสมัยแรกของสโมสรมาครองได้สำเร็จ
ลิเวอร์พูล 3-3 เอซี มิลาน (5-4)
รอบชิงชนะเลิศ 25 พ.ค.2005
หากจะพูดถึงเกมแห่งการคัมแบ็กที่ดีที่สุด และอยู่ในใจของใครหลายๆคน คงจะหนีไม่พ้นค่ำคืนประวัติศาสตร์ที่ อิสตันบูล ซึ่งเป็นการดวลกันของ ลิเวอร์พูล เจ้าของแชมป์ถ้วยยุโรป 4 สมัย กับ เอซี มิลาน เจ้าของแชมป์ 6 สมัย โดยแม้ดูเหมือนว่าการสู้รบระหว่าง 2 จะปิดฉากลงตั้งแต่ช่วงจบครึ่งแรก หลังจาก “ปีศาจแดงดำ” ขึ้นนำไปถึง 3-0 จาก เปาโล มัลดินี และ เอร์นัน เครสโป อีก 2 ลูก อย่างไรก็ตาม ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือ “หงส์แดง” ในตอนนั้น กระตุ้นลูกทีมอย่างหนัก ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล กลับมายิง 3 ประตูรวดในช่วงครึ่งหลัง ตีเสมอได้สำเร็จชนิดช็อคโลก และบังคับให้เกมต้องเลยเข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษแต่ก็ยังทำอะไรกันเพิ่มไม้ได้ และต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ ซึ่งในที่สุดทีมจาก “เมอร์ซีไซด์” เป็นผู้ชนะ และครองแชมป์เป็นสมัยที่ 5 ของพวกเขาได้อย่างเหลือเชื่อ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-1 บาเยิร์น มิวนิค
รอบชิงชนะเลิศ 26 พ.ค.1999
การกลับมาในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ และความทรงจำในเกมนัดชิงชนะเลิศ ในประวัติศาสตร์การแข่งขันฟุตบอลถ้วยยุโรป โดยในเกมดังกล่าวทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องตกเป็นฝ่ายตามหลังอย่างรวดเร็วในเกมนั้นจากการยิงฟรีคิกของ มาริโอ บาสเลอร์ และ บาเยิร์น ยังคงเล่นได้ดีกว่า และมีโอกาสมากมายในการปิดเกม แต่ “ปีศาจแดง” ยังตามหลังแค่ 1-0 จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เท็ดดี เชอริงแฮม และ โอเล กุนนาร์ โซลชา 2 กองหน้าตัวสำรอง มาทำ 2 ประตูปาฏิหาริย์ ให้ “ผีแดง” แซงคว้าแชมป์ไปครอง และกลายเป็นตำนานในวงการลูกหนังอีกหนึ่งเกมมาจนถึงทุกวันนี้
จากทุกแมตช์ที่กล่าวมาข้างต้นทำให้คำว่า “อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกของฟุตบอล หากยังไม่สิ้นเสียงนกหวีด” มักจะมีให้เราเห็นอยู่เสมอ โดยเฉพาะผลการแข่งขันที่ไม่น่าเชื่อในหลายๆนัด ซึ่งการนำห่างไม่ได้หมายความว่าจะจบเกมด้วยการชนะเสมอไป หรือการตามหลังอยู่แม้ใกล้จะหมดเวลาก็ยังสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะได้จากเวลาเพียงเสี้ยววินาที