ข่าว

ผีดูดเลือดแห่ง'ดุสเซลดอร์ฟ'

ผีดูดเลือดแห่ง'ดุสเซลดอร์ฟ'

29 ส.ค. 2552

ในบรรดาฆาตกรต่อเนื่องที่มีอารมณ์ผันผวนแตกต่างกันไปในยุคศตวรรษที่ 19 ว่ากันว่าเจ้าของฉายา "ผีดูดเลือดแห่งดุสเซลดอร์ฟ" ได้รับการขนานนามว่าเป็น "ราชาแห่งพวกวิปริตทางเพศ" กับผลงานอันสยดสยองฆ่าทุกคนที่พบขณะอยากฆ่า ตั้งแต่เด็กวัย 2 ขวบไปจนถึงชายเร่ร่อน ก่อนจะด

"ปีเตอร์ เคอร์เทน" คือ เจ้าของฉายาผีดูดเลือดแห่งดุสเซลดอร์ฟ เกิดเมื่อปี 1883 ในเมืองโคล์น-มุนไฮม์ ประเทศเยอรมนี เป็นหนึ่งในลูก 13 คนของครอบครัว พ่อติดเหล้าเมื่อเมามักจะอาละวาดระรานแม่กับลูกๆ ต่อมาเขาต้องติดคุกฐานพยายามจะมีเพศสัมพันธ์กับหญิงร่วมสายโลหิต เคอร์เทนเริ่มแสดงอารมณ์ร้ายให้เห็นตั้งแต่เด็ก โดยพยายามกดหัวเพื่อนเล่นคนหนึ่งจนเกือบจมน้ำตาย และเริ่มมีความสุขทางเพศจากการช่วยคนจับสุนัขจรจัดไปทรมานแล้วฆ่าพวกมัน พออายุได้ 13 ปีก็มีนิสัยโหดร้ายและกลายเป็นนักวางเพลิง

 "ผมเพลิดเพลินกับการได้เห็นเปลวไฟลุกโพลง แต่ที่สุดยอดกว่านั้นคือตื่นเต้นกับการดับไฟและความปั่นป่วนของผู้คน ที่เห็นทรัพย์สินของพวกเขากำลังถูกทำลาย" นี่คือคำสารภาพของเขา

 พออายุได้ 16 ปี เคอร์เทนกับเพื่อนๆ ได้ไปชมห้องสยองขวัญที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งในเมือง ก่อนจะพูดกับเพื่อนคนหนึ่งว่า "สักวันฉันจะต้องดังเหมือนคนพวกนั้น" และเมื่ออายุได้ 17 ปี เขาก็ก่ออาชญากรรมที่เป็นความผิดอาญาขึ้นครั้งแรกในคดีลักเล็กขโมยน้อยแล้วถูกจับได้ ศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 2 ปี และเมื่อได้รับการปล่อยตัวออกมาก็ก่อคดีอีกหลายคดี กระทั่งได้รับอิสรภาพอีกครั้งในปี 1913 ขณะอายุได้ 30 ปี เขาก็ก่อคดีฆาตกรรมขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อพบเด็กสาววัย 13 ปี กำลังนอนหลับอยู่ใกล้หน้าต่างโรงแรมขนาดเล็กของพ่อที่เมืองโคล์น-มุนไฮม์ จึงลงมือรัดแล้วเชือดหลอดลมด้วยมีดพก

 อาชญากรรมครั้งแรกของเคอร์เทนปราศจากร่องรอยและหลักฐานสาวมาถึงตัว เขาจึงรอดพ้นเงื้อมมือกฎหมาย เพื่อจะได้ก่อคดีฆาตกรรมสยองขวัญตามมาอีกมากมาย อย่างไรก็ดีในปี 1923 เขาได้แต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งยังไม่รู้ว่าเขาคือฆาตกรและตอนนั้นยังไม่ได้รับการขนานนามด้วยความสยดสยอง

 กระทั่งอีก 6 ปีต่อมา กระแสความหวาดกลัวได้ลุกกระพือไปทั่วทั้งเมืองดุสเซลดอร์ฟ เมื่อคนร้ายเล่นงานเหยื่อ 23 ครั้ง ส่วนใหญ่เกิดกับเด็กหญิงและหญิงสาว ในเดือนกุมภาพันธ์ปีเดียวกันนี้หญิงสาวคนหนึ่งถูกแทงด้วยกรรไกร 24 แผล เธอหวีดร้องด้วยความตื่นตกใจและหวาดกลัว จนคนร้ายเองก็ตกใจกับเสียงจนเผ่นหนีไป ช่วยให้เธอรอดชีวิตมาได้

 แต่ 6 วันถัดมาเด็กหญิงวัย 9 ขวบกลับโดนแทงด้วยกรรไกรเสียชีวิต โดยคนร้ายพยายามเผาศพด้วยน้ำมัน และอีก 4 วันต่อมาชายเมาสุราถูกสังหาร คนร้ายพยายามดื่มเลือดที่ทะลักออกมาจากบาดแผลของเหยื่อ เดือนสิงหาคมปีเดียวกันหญิงสาวคนหนึ่งประสบชะตากรรมคล้ายคลึงกัน ผู้คนจึงเรียกฆาตกรโรคจิตรายนี้ว่า "ผีดูดเลือดแห่งดุสเซลดอร์ฟ" !?!

 นับตั้งแต่เหยื่อรายล่าสุดอันเป็นที่มาของฉายาผีดูดเลือดแห่งดุสเซลดอร์ฟ ไม่นานคนร้ายก็พยายามฆ่าหญิงสาวอีก 2 ราย แต่เกิดความผิดพลาดลงมือไม่สำเร็จ ผู้เสียหายสามารถบอกตำหนิรูปพรรณคนร้ายได้พอสมควร กระนั้นตำรวจก็ยังไม่รู้ว่าใครคือฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ หลังจากนั้นเหตุร้ายก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหยื่อรายหนึ่งเป็นเด็กหญิงวัยแค่ 2 ขวบ ซึ่งระยะหลังฆาตกรได้เปลี่ยนอาวุธจากกรรไกรมาเป็นค้อนแล้ว

 หลังจากตระเวนลงมือก่อเหตุสร้างความสยองขวัญแก่ผู้คนมานาน ผีดูดเลือดแห่งดุสเซลดอร์ฟก็ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ นำมาสู่จุดจบของเขาในเวลาต่อมา โดยในเดือนพฤษภาคม 1930 เคอร์เทนได้พบกับมาเรีย บัดลีส์ หญิงสาวจากเมืองโคโลญจน์วัย 20 ปี ที่เดินทางมาดุสเซลดอร์ฟ จึงพาเธอไปที่ห้องพักของเขากับภรรยาแล้วพยายามข่มขืนมาเรีย จากนั้นได้ลากตัวเข้าไปในป่าละแวกใกล้ๆ ลงมือรัดคอแล้วจู่ๆ ก็เกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน เขาค่อยๆ ผ่อนมือออกแล้วเอ่ยถามว่า จำที่อยู่ของเขาได้ไหม เธอตอบว่าจำไม่ได้ จึงได้รับการปล่อยตัวไป โดยไม่มีใครทราบสาเหตุที่แท้จริง แม้หลังถูกจับกุมในเวลาต่อมาก็ตาม

 แม้จะตกเป็นเหยื่อเกือบเอาชีวิตไม่รอด ทว่ามาเรียก็ไม่ได้แจ้งตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอเขียนจดหมายเล่าเรื่องให้เพื่อนคนหนึ่งฟัง บังเอิญว่าเธอจ่าหน้าซองผิดพนักงานไปรษณีย์จึงเปิดซองออกอ่าน แล้วจึงรีบส่งไปให้ตำรวจ ตำรวจสืบสวนย้อนรอยจดหมายไปกระทั่งพบมาเรีย และให้เธอพาไปที่อยู่ของคนร้ายที่ค่อนข้างแน่ใจว่า เป็นผีดูดเลือดแห่งดุสเซลดอร์ฟที่กำลังตามหา เมื่อไปถึงตำรวจกลับไม่พบตัว แต่เจ้าของอพาร์ตเมนต์บอกว่าผู้เช่ารายนี้คือ "ปีเตอร์ เคอร์เทน" ชื่อจริงของเขาจึงถูกเปิดเผยเป็นครั้งแรก

 วันรุ่งขึ้นภรรยาของเคอร์เทนไปพบตำรวจบอกกับพวกเขาว่า สามีของเธอคือผีดูดเลือดแห่งดุสเซลดอร์ฟที่ผู้คนพากันหวาดกลัว ในที่สุดตำรวจก็ตามไปจับกุมตัวเขาได้ เป็นการปิดฉากความชั่วร้ายของฆาตกรรายนี้ได้เป็นผลสำเร็จ แต่ความสยดสยองในตัวของเคอร์เทนกลับยังไม่สิ้นสุด โดยในชั้นสอบสวนเขาให้การรับสารภาพต่อตำรวจว่า สนุกกับการข่มขืนฆ่าและชำแหละ และในชั้นศาลเขาต่อสู้คดีโดยอ้างเหตุวิกลจริต คำให้การตอนหนึ่งระบุว่า "ผมไม่ได้เลือกฆ่าเฉพาะคนที่ผมรักหรือเกลียด แต่ฆ่าทุกคนที่พบขณะผมเกิดความรู้สึกอยากฆ่า"

 การอ้างเหตุวิกลจริตขณะก่อเหตุไม่ทำให้ศาลเชื่อได้ จึงมีคำพิพากษาว่าเคอร์เทนมีความผิดฐานฆ่าคนตาย 9 คดี พยายามฆ่าอีก 7 คดี ให้ลงโทษประหารชีวิตด้วยการตัดคอ !?!

 แต่ก่อนการประหารจะเกิดขึ้น ศ.คาร์ล เบิร์ก นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน ได้เข้าไปพูดคุยกับเคอร์เทนในเรือนจำ ก่อนจะลงความเห็นว่า เคอร์เทนเป็นโรคจิตประเภทลุ่มหลงตนเอง เอาตัวเองเป็นวัตถุทางเพศ และเป็นราชาแห่งพวกวิปริตทางเพศ

 ในเวลาต่อมาได้รับการเปิดเผยว่า ระหว่างจำคุกในคดีอาชญากรรมลักเล็กขโมยน้อย เคอร์เทนรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องราวของ "แจ็ก เดอะ ริปเปอร์" ฆาตกรต่อเนื่องที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษเป็นอย่างมาก ถึงกับเปรยว่า "เมื่อนึกถึงเรื่องที่อ่านขณะอยู่ในคุก ผมคิดถึงความสุขที่จะได้จากการได้ทำแบบนั้นบ้างหลังพ้นโทษ"

 วันประหารเคอร์เทนกินอาหารมื้อสุดท้ายในชีวิตด้วยความเอร็ดอร่อย มีการเล่ากันว่าเมื่อถึงแดนประหาร เขาหันไปถามเพชฌฆาตว่า "ผมจะได้ยินเสียงเลือดของตัวเองทะลักออกมาไหม ? ดีแล้ว จะได้จบสิ้นความสุขทั้งหลายแหล่เสียที"
 
 สังคมเอื้ออารีภูมิคุ้มกันกำเนิด 'ฆาตกรต่อเนื่อง' 

 พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต บอกว่า ฆาตกรต่อเนื่องเป็นพฤติกรรมที่พบได้ไม่บ่อย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะมีความน่าสะพรึงกลัว สะท้อนความล้มเหลวของสังคมและบุคคลนั้น บุคคลที่มีพฤติกรรมเป็นฆาตกรต่อเนื่องจะมีต้นทุนชีวิตน้อย เช่น ครอบครัวมีปัญหา ถูกทำร้าย ถูกรังแก ไม่มีคนรัก เมื่อเติบโตเกิดความคิดต่อต้านสังคม ที่มิใช่เพียงมีความคิดเห็นแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ แต่จะต่อต้านอย่างรุนแรง โดยที่เขามีความเกลียดความโกรธในใจมากมาย จนไม่เห็นคุณค่าของชีวิตใคร ในใจคิดอยากจะทำร้าย อยากเผาทำลาย ทุบตีทำร้ายคนที่อ่อนด้อยกว่า มันสะท้อนถึงว่าในใจเขาไม่มีที่ยืนสำหรับคุณธรรมอยู่เลย

 "ปูมหลังของฆาตกรต่อเนื่องมักจะเกิดจากครอบครัวที่ขาดความรัก ไม่เคยได้รับการปกป้อง เคยแต่ถูกทำร้าย อยู่อย่างโดดเดี่ยว จนสร้างความเคียดแค้นสะสมในใจ รู้สึกเพียงแค่มีหน้าที่ดูแลตัวเอง มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ไม่มีอนาคต ไม่มีอดีต ไม่เคยคิดถึงใคร มีชีวิตไม่ยี่หระต่อความตาย และมองเห็นคนอื่นตายเป็นเรื่องธรรมดา ให้ความรู้สึกเหมือนฆาตกรต่อเนื่องเป็นดั่งผีร้าย" พญ.อัมพร วิเคราห์ะพฤติกรรม

 พญ.อัมพรมองว่า เมืองไทยก็อาจจะเคยมีฆาตกรต่อเนื่องเกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่ฆาตกรจะมีโอกาสทำร้ายเหยื่อได้เพียงแค่ 1-2 รายเท่านั้น เนื่องจากสังคมไทยยังมีความใส่ใจในชีวิตของกันและกัน คอยปกป้องดูแลกัน แตกต่างจากสังคมตะวันตก ที่เป็นเมืองหนาวต่างคนต่างอยู่ มีทั้งครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวแตกแยก ที่ต่างไม่มีใครสนใจใคร แต่เมื่อใดที่สังคมไทยขาดความรักให้กัน ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีการปกป้องช่วยเหลือกัน ครอบครัวมีแต่ความกระด้างแห้งแล้งต่อกัน เด็กๆ อาจจะสะสมประสบการณ์เลวร้าย จนนำไปสู่การเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่น่าสะพรึงกลัวได้เช่นกัน