
ศาลปกครองฯ ไม่คุ้มครอง “บุญทรง” ขอระงับชดใช้โครงการจำนำข้าว
ศาลปกครองกลาง สั่งยังไม่คุ้มครอง “ บุญทรง – ภูมิ และ 3 อดีตขรก.กรมการค้าต่างประเทศ ” ขอทุเลาระงับคำสั่งพาณิชย์ให้ชดใช้นับพันล้าน ทำรัฐเสียหายโครงการจำนำข้าว
10 ก.พ.60 -- เมื่อเวลา 13.30 น. น.ส.ผึ้งรวง ประเสริฐพานิชการ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวนและองค์คณะรวม 6 คน มีคำสั่ง ยกคำร้องของ นายบุญทรง เตริยาภิรมณ์ อดีต รมว.พาณิชย์ และนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งทั้งสองตกเป็นจำเลยคดีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี , นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ, นายอัฐฐิติพงศ์ หรือ อัครพงศ์ ทีปวัชระ หรือช่วยเกลี้ยง อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ และนายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว กรมการค้าต่างประเทศ และอดีตผู้ช่วยเลขานุการ ในคณะทำงานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ที่ 453/2559 ลงวันที่ 19 ก.ย.59 เรื่องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกับกระทรวงพาณิชย์ในส่วนของนายบุญทรง เป็นเงินจำนวน 1,768,973,012.66 บาท , นายภูมิ จำนวน 2,242,571,739.68 บาท และนายมนัส , นายอัฐฐิติพงศ์ , นายทิฆัมพร เป็นเงินจำนวนรายละ 4,011,544,752.33 บาท ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 จากกรณีจงใจกระทำละเมิดให้ราชการเสียหาย จากการนำข้าวตามสัญญาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐมาเวียนขายให้ผู้ประกอบการค้าข้าวภายในประเทศ
โดยศาลปกครองกลาง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ผู้ถูกร้องที่ 1-2 ร่วมกันแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ลงวันที่ 3 เม.ย.58 ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 กรณีป.ป.ช.แจ้งว่าได้รับเรื่องกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือทุจริตต่อหน้าที่ กรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ
จากนั้นได้มีการเชิญกลุ่มผู้ฟ้องชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการฯ แล้ว ต่อมากระทรวงพาณิชย์ได้ส่งรายงานผลการสอบสวนไปยังกระทรวงการคลัง ผู้ถูกฟ้องที่ 4 แล้ว เมื่อวันที่ 25 เม.ย.59 กระทรวงการคลัง ผู้ถูกฟ้องที่ 4 แจ้งผลให้รมว.พาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ทราบว่าความเสียหายที่เกิดจากการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ จำนวน 4 สัญญา มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง 6 คน รวมถึงผู้ฟ้องด้วย ซึ่งต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมชดแทนตามสัดส่วนของตน กระทั่งวันที่ 6 ก.ค.59 รายงานความเห็นของกระทรวงการคลังให้นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ทราบ เพื่อออกคำสั่งเรียกให้เจ้าหน้าที่ทั้ง 6 คนชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยมีรมว.พาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ลงนามในคำสั่งแทน และในวันที่ 16 ก.ย.59 ได้มีหนังสือมอบอำนาจให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องที่ 3 ลงนามในคำสั่งแทน กระทั่งผู้ถูกฟ้องที่ 3 ในฐานะผู้ปฏิบัติราชการแทนรมว.พาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ออกคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ที่ 453/2559 เรื่องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่กระทรวงพาณิชย์ภายใน 30 วัน นับแต่วันวันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
หลังจากนั้น ผู้ถูกฟ้องที่ 2-3 ได้มีหนังสือลงวันที่ 15 พ.ย.2559 แจ้งเตือนให้ผู้ฟ้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ หากพ้นเวลาที่กำหนดแล้วยังไม่ชดใช้ เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องใช้มาตรการบังคับทางปกครอง โดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องแล้วขายทอดตลาดเพื่อชำระเงินให้ครบถ้วนตามจำนวนต่อไป
จากการไต่สวนของศาลคู่กรณีของ 2 ฝ่าย ให้ถ้อยคำรับกันว่านอกจากหนังสือฉบับดังกล่าวแล้ว ยังไม่มีการดำเนินการใช้มาตรการบังคับทางปกครองแก่ผู้ฟ้องคดี ในชั้นนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าคำสั่งกระทรวงพาณิชย์น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และที่กลุ่มผู้ฟ้องอ้างว่าคำสั่งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประการก็เป็นประเด็นในเนื้อหาของคดีที่ศาลต้องแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อพิจารณาและมีคำพิพากษาต่อไป ส่วนหนังสือกระทรวงพาณิชย์ลงวันที่ 15 พ.ย.2559 ที่แจ้งว่าหากพ้นกำหนดแล้วยังไม่ชดใช้ค่าสินไหม เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องใช้มาตรการบังคับทางปกครอง โดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพื่อขายทอดตลาดนั้น หนังสือฉบับดังกล่าวเป็นเพียงหนังสือเตือนให้ชำระเงินตามคำสั่ง ซึ่งพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 57 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า คำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ผู้ใดชำระเงิน ถ้าถึงกำหนดแล้วไม่มีการชำระโดยถูกต้องครบถ้วน ให้เจ้าหน้าที่มีหนังสือเตือนให้ผู้นั้นชำระภายในระยะเวลาที่กำหนดไม่น้อยกว่า 7 วัน ถ้าไม่มีการปฏิบัติตามคำเตือน เจ้าหน้าที่อาจใช้มาตรการบังคับทางปกครอง กรณีจึงยังไม่ใช่การใช้มาตรการโดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินและขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระ อีกทั้งในชั้นนี้ยังรับฟังไม่ได้ว่า ถ้าศาลไม่มีคำสั่งทุเลาการบังคับคำสั่งกระทรวงพาณิชย์แล้วจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่กลุ่มผู้ฟ้องที่จะยากต่อการเยียวยาแก้ไขในภายหลัง
ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษาตามคำขอของกลุ่มผู้ฟ้อง จึงมีคำสั่งให้ยกคำขอในส่วนนี้ของผู้ฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นัดฟังคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาในวันนี้ ฝ่ายผู้ฟ้องทั้งห้า ไม่ได้เดินทางมาศาล ได้มอบอำนาจให้ผู้แทน และนายธนกร แหวกวารี ทนายความกลุ่มอดีตข้าราชการกรมการค้าต่างประเทศ มาฟังคำสั่งแทน ขณะที่ฝ่ายกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบอำนาจผู้แทนมาเช่นกัน
ทั้งนี้ นายธนกร แหวกวารี ทนายความกลุ่มอดีตข้าราชการกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า ศาลได้ยกคำร้องขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ เพราะเห็นว่ากระบวนการบังคับคดียังไม่ได้ดำเนินการ ยังไม่ถึงขั้นแต่งตั้งเจ้าพนักงานนำยึดทรัพย์ขายทอดตลาด ซึ่งคำสั่งของศาลปกครองกลางเรื่องการทุเลานี้ถึงที่เป็นที่สุด ไม่อาจอุทธรณ์ได้แต่ไม่ตัดสิทธิที่จะมีการยื่นคำร้องขอทุเลาต่อศาลใหม่หากมีการดำเนินขั้นตอนในมาตรการบังคับทางปกครองที่จะยึดอายัดทรัพย์
ด้านน.ส.รื่นฤดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรมชี้แจงถึงขั้นตอนการบังคับคดีว่า ขณะนี้กรมบังคับคดียังไม่ได้รับเรื่องนี้จากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ที่ถือว่าเป็นผู้เสียหาย จึงยังไม่ได้ดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์ใด ๆ ทั้งสั้น โดยต้องรอให้กรมการค้าต่างประเทศตั้งเรื่องมาว่ามีทรัพย์สินใดบ้างที่ต้องการให้กรมบังคับคดีดำเนินการซึ่งเป็นหน้าที่ของกรมการค้าต่างประเทศที่ต้องไปสืบหาทรัพย์สินแล้วแจ้งต่อกรมบังคับคดี หลังจากนั้นกรมบังคับคดีจึงจะปฏิบัติตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งคือไปดำเนินการยึดอายัดทรัพย์ตามคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า อย่างไรก็ดี การออกคำสั่งของกระทรวงพาณิชย์ ดังกล่าว นายบุญทรง อดีต รมว.พาณิชย์ , นายภูมิ อดีต รมช.พาณิชย์ , นายมนัส อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ , นายอัฐฐิติพงศ์ อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ และนายทิฆัมพร อดีต ผอ.สำนักบริหารการค้าข้าว กรมการค้าต่างประเทศ และอดีตผู้ช่วยเลขานุการ ในคณะทำงานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ได้ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี , รมว.พาณิชย์ , ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และ กระทรวงการคลัง เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-4 ในคดีหมายเลขดำ 1761 , 1783 , 1786 , 1787 และ 1788/2559 เรื่องกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย กรณีที่กระทรวงพาณิชย์ ออกคำสั่งที่ 453/2559 ลงวันที่ 19 ก.ย.2559 ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากเหตุขณะปฏิบัติหน้าที่ ได้อาศัยโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ โดยชอบด้วยกฎหมาย ทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ
โดยคดีทั้ง 5 สำนวนนี้ ยังอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครองกลางต่อไป ซึ่งศาลจะได้ไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อมีคำพิพากษาทางคดีต่อไป
ทั้งนี้ นอกจากอดีตนักการเมือง และอดีตข้าราชการดังกล่าว ยังมีคดีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ตกเป็นจำเลยคดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบโครงการรับจำนำข้าว ได้ยื่นคำขอทุเลาการบังคับคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค.59 ที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากเหตุขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ( กขช.) ปล่อยให้เกิดทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดแก่ราชการตามอำนาจหน้าที่ เป็นเหตุให้กระทรวงการคลัง เกิดความเสียหาย มูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาทเศษ
ซึ่งศาลปกครองกลางเพิ่งได้ไต่สวนไปเมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีคำสั่งใดๆ ออกมา โดยคดีดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี , รมว.คลัง , รมช.คลัง และปลัดกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-4
โดยนายนพดล หลาวทอง ทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกฯ กล่าวว่า แม้ทางปฏิบัติทางปกครองจะมีแนวทางที่คล้ายกัน แต่เนื่องจากการไต่สวนของแต่ละคดีอาจมีข้อเท็จจริงที่นำเสนอแตกต่างกัน ผลคำสั่งจึงอาจจะยังบอกไม่ได้บอกผลคดีของอดีตนายกฯ จะเป็นผลเช่นเดียวกับกลุ่มอดีตข้าราชการว่ายังไม่มีเหตุจำเป็นที่ศาลจะสั่งทุเลา โดยที่ผ่านมาฝ่ายอดีตนายกฯ ได้ยื่นเอกสารเพิ่มเติมต่อศาลแล้วตามที่ศาลสั่งให้ยื่นภายใน 30 วัน ซึ่งขณะนี้ยังไม่ครบกำหนดจึงไม่ทราบว่าฝ่ายผู้ถูกฟ้องยื่นเอกสารครบถ้วนหรือยัง ซึ่งการไต่สวนฝ่ายกระทรวงการคลัง ยืนยันเรื่องขั้นตอนการชดใช้ค่าเสียหาย