
ศาลยก!! คำร้องรื้อคดี 2 ครูชำเราเด็ก
ศาลอุทธรณ์ สั่งยกคำร้อง “ ลอน – พิมล” อดีคตรู จำเลยคดีชำเราเด็กนักเรียนหญิง ขอรื้อฟื้นคดีใหม่ ชี้ คำให้การพยานที่อ้าง ไม่ใช่หลักฐานใหม่
10 ก.พ.60 - ศาลอุทธรณ์ สั่งยกคำร้อง “ ลอน – พิมล” อดีคตรู จำเลยคดีชำเราเด็กนักเรียนหญิง ขอรื้อฟื้นคดีใหม่ ศาลชี้ คำให้การพยานที่อ้าง เคยมีชั้นพิจารณา ไม่ใช่หลักฐานใหม่ ตาม พ.ร.บ.รื้อฟื้นฯ มาตรา 5 ขณะที่ทนาย ระบุ เหลือเวลาคุมขังอีก 8 ปี ลุ้นหาช่องกฎหมายลดโทษ
ที่ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา วันนี้ ศาลอ่านคำสั่งขอรื้อฟื้นคดีของศาลอุทธรณ์ ที่นายลอน โสรกนิษฐ์ อายุ 69 ปี อดีตอาจารย์ระดับ 7 ประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และนายพิมล ซุ่นศรี หรือซุ้นศรี อายุ 59 ปี อดีตอาจารย์ระดับ 7 สอนวิชาพลศึกษาในโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านสายไหม ผู้ต้องขังตามคำพิพากษาฎีกาถึงที่สุด คดีกระทำชำเรา , อนาจารและพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจารฯ ยื่นคำร้องขอรื้อฟื้นคดีใหม่
โดย นายลอน และนายพิมล จำเลยที่ 1-2 ถูกอัยการยื่นฟ้องเป็นจำเลย ต่อศาลอาญา เมื่อวันที่ 2 พ.ย.49 ในความผิดฐานพาเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี เพื่อการอนาจาร, กระทำอนาจารและพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร, กระทำชำเราฯ และหน่วงเหนี่ยว กักขัง เพื่อการอนาจาร ซึ่งคำฟ้องระบุว่า ระหว่างวันที่ 1 มิ.ย.- 10 ส.ค. 49 ต่อเนื่องกัน นายลอน จำเลยที่ 1 ได้พา ด.ญ.เอ (นามสมมติ) อายุ 7 ขวบ ผู้เสียหาย โดยหลอกเข้าไปในห้องน้ำก่อนกระทำอนาจารผู้เสียหาย จากนั้นจำเลยที่ 1 ยังได้พราก ด.ญ.เอไปกักขังเพื่อกระทำชำเรา และจำเลยที่ 1 ยังมีพฤติการณ์พา ด.ญ.เอ ไปชำเราและอนาจารอีกจำนวน 5 ครั้ง ขณะที่นายพิมล จำเลยที่ 2 ได้ใช้กำลังประทุษร้าย ด.ญ.เอ เพื่อกระทำอนาจารและกระทำชำเรา โดยที่ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จำนวน 4 ครั้ง
ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันพาเด็กหญิงผู้เสียหายอายุ 7-8 ขวบ รวม 5 คน โดยล่อลวงว่าจะพาไปซื้อขนม ก่อนจะกระทำอนาจาร และพรากผู้เสียหายทั้ง 5 คนไปจากบิดามารดา เพื่อการอนาจาร หน่วงเหนี่ยวกักขัง กระทำการด้วยประการใดให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เพื่อยินยอมให้จำเลยทั้งสองกระทำชำเรา โดยจำเลยทั้งสองยังร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย และผลัดเปลี่ยนกันกระทำชำเราผู้เสียหายทั้ง 5 คนอีกด้วย เหตุเกิดที่แขวง - เขตสายไหม กทม. ขณะที่ ศาลฎีกา มีคำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อวันที่ 18 ม.ค.59 ให้จำคุกนายลอน จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 19 ปี 3 เดือน ส่วนนายพิมล จำเลยที่ 2 จำคุก 12 ปี
เมื่อคดีที่ถึงที่สุด จำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอรื้นฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ซึ่งศาลเบิกตัว จำเลยทั้งสอง มาจากเรืองจำกลางบางขวาง เพื่อฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ โดยมีกลุ่มเพื่อนครูและญาติสนิทของจำเลยทั้งสองประมาณ 6-7 เดินทางมาให้กำลังใจ
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์พยานหลักฐานตามที่ศาลชั้นต้นไต่สวนมาแล้ว เห็นว่า ศาลชั้นต้นได้ทำการไต่สวนพยานตามที่ผู้ร้องทั้งสองอ้างว่า มีพยานหลักฐานใหม่ ที่จะยืนยันได้ว่าผู้ร้องทั้งสองไม่ได้กระทำผิด มีพยานเป็นบรรณารักษ์ ภารโรง และครู ที่โรงเรียนที่เกิดเหตุ เบิกความในทำนองเดียวกันว่า ไม่เชื่อว่าผู้ร้องทั้งสองกระทำความผิดทั้งที่ห้องพักครูและในห้องพยาบาล แต่ไม่มีใครรู้เห็นเหตุการณ์
ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า คำเบิกความของพยานในชั้นไต่สวนคำร้องขอรื้อฟื้นคดีนั้น ได้ทำการเบิกความไว้ในชั้นสืบพยานแล้ว จึงไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ ที่จะนำมาเป็นเหตุให้รื้อฟื้นคดี ตามมาตรา 5 (3) พ.ร.บ.รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 คำร้องของนายลอนและนายพิมล จึงไม่มีมูล ให้ยกคำร้อง
ภายหลังนายพีระพัฒน์ เพียงแก้ว ทนายความจำเลยกล่าวว่า หลังจากนี้จะไปตรวจสอบข้อกฎหมายว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไรได้อีก ในส่วนของการลดโทษ เนื่องจากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเช่นนี้ การรื้อฟื้นคดีจึงไม่สามารถดำเนินการใดใดได้อีก เพราะการยื่นคำร้องสามารถดำเนินการได้เพียงครั้งเดียว โดยการยื่นคำร้องครั้งแรกเนื่องจากมีภรรยาของนายลอนที่ใกล้ชิดอยู่บ้านเดียวกันซึ่งจะรับรู้เหตุการณ์ว่าไม่ได้มีการกระทำใดใดเกิดขึ้นที่บ้านพักครู และครูประจำห้องพยาบาลซึ่งเป็นพยานในส่วนของนายพิมล ซึ่งไม่เคยเบิกความในศาลชั้นต้นมาก่อน จึงเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่จะเสนอให้ศาลพิจารณา อย่างไรก็ดีนายลอนเหลือระยะเวลาถูกคุมขังอีกประมาณ 8 ปี ส่วนนายพิมลจะครบกำหนดในเดือน พ.ค.นี้