ข่าว

นักวิชาการขยับแรงจี้ศาลปล่อย“ไผ่ดาวดิน”

นักวิชาการขยับแรงจี้ศาลปล่อย“ไผ่ดาวดิน”

30 ม.ค. 2560

เครือข่ายนักวิชาการ ยื่นหนังสือถึงประธานศาลฎีกา-ผู้พิพากษาทั่วประเทศ เรียกร้องให้ปล่อยชั่วคราว “ไผ่ดาวดิน” พร้อมเร่งปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมพ้นวิกฤตศรัทธา

          30 ม.ค. นายอนุสรณ์ อุณโน คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) พร้อมอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ จำนวน 10 คน เข้ายื่นหนังสือต่อประธานศาลฎีกา พร้อมแนบบัญชีรายชื่อนักวิชาการ นักศึกษาทั้งไทยและต่างประเทศกว่า 300 รายชื่อ ขอให้ประธานศาลฎีกาและผู้พิพากษาทั่วประเทศ พิจารณาเรื่องความเสื่อมถอยของระบบนิติรัฐและการละเมิดสิทธินายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน ผู้ต้องหาคดี 112 และความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวน ทั้งที่ยื่นประกันมาแล้วถึง 5 ครั้ง โดยมีนางปิยะนุช มนูรังสรรค์ เลขาธิการประธานศาลฎีกา และนายจีระพัฒน์ พันธุ์ทวี เลขานุการประธานศาลฎีกาเป็นผู้รับหนังสือ

           ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา วิกฤตการณ์ที่สังคมกำลังเผชิญอยู่คือวิกฤตศรัทธาที่มีต่อกระบวนการยุติธรรม โดยคำว่า 2 มาตรฐานมักถูกนำมาใช้เพื่อให้หมายถึงการบังคับใช้และตีความกฎหมายอย่างไม่เสมอภาคกัน โดยองค์กรตุลาการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองบ่อยครั้ง และปัญหาดังกล่าวรุนแรงยิ่งขึ้นหลังการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อกฎหมายถูกนำมาใช้ริดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนที่แสดงความเห็นต่างจากผู้มีอำนาจ ศาลทหารถูกใช้ดำเนินคดีต่อประชาชนโดยไม่มีเสียงคัดค้านจากบุคคลในองค์กรตุลาการ หากบุคคลในองค์กรตุลาการเปิดใจรับรู้ปัญหาย่อมตระหนักถึงความรู้สึกของประชาชน เพราะปัจจุบันประชาชนทั่วไปกล้าวิจารณ์การทำงานของศาลอย่างตรงไปตรงมาในสื่อสังคมออนไลน์ จนกล่าวได้ว่าไม่มียุคใดที่ประชาชนจะเสื่อมศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรมเท่ายุคนี้

            กรณีของไผ่ ดาวดิน ได้ตอกย้ำปัญหาของกระบวนการยุติธรรม โดยนายไผ่ถูกกล่าวหาจากการแชร์ข่าวพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเฟชบุ๊คสำนักข่าวบีบีไทย และศาลจังหวัดขอนแก่นมีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่าไผ่ ดาวดิน ไม่ลบข้อความในเฟชบุ๊ค และยังแสดงภาพถ่ายที่ศาลเห็นว่าเป็นการเย้ยหยันอำนาจรัฐ แม้ทนายความจะยื่นประกันตัวถึง 5 ครั้ง แต่ศาลก็ไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว และเมื่อยื่นอุทธรณ์และฎีกาตามลำดับ แต่ศาลสูงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลจังหวัดขอนแก่น ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลนัดไต่สวนคำร้องขอฝากขังไผ่ ดาวดิน ปรากฏว่าองค์คณะผู้พิพากษาให้พิจารณาคดีแบบลับ ห้ามบุคคลอื่นเข้าฟังการพิจารณาคดีนอกจากพ่อแม่และทนายความของผู้ต้องหา แม้จะมีการโต้แย้งว่าเป็นเพียงการคัดค้านการขอฝากขังของตำรวจเท่านั้น ยังไม่เข้าสู่ขั้นตอนการพิจาณาคดี จึงเป็นสิทธิ์ประชาชนที่สามารถเข้าฟังการไต่สวนอย่างเปิดเผย แต่ศาลก็ไม่อนุญาตโดยให้เหตุผลว่าเป็นคดีความมั่นคง ทำให้ไผ่ ดาวดินขอสละสิทธิ์ทนายความ โดยจะว่าความต่อสู้คดีด้วยตนเอง

             นักเรียกกฎหมายย่อมรู้ดีว่า ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาให้สันนิฐานไว้ก่อนว่าบุคคลนั้นบริสุทธิ์ อีกทั้งไม่มีหลักฐานหรือเหตุผลน่าเชื่อว่าไผ่ ดาวดินจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน หรือพยามยามหลบหนี รวมทั้งไม่มีการกระทำใดๆ ที่ส่อถึงการฝ่าฝืนเงื่อนไขศาลในการปล่อยตัวชั่วคราว นอกจากนี้ศาลก็ไม่ได้กำหนดให้การลบข้อความในเฟสบุ๊คเป็นเงื่อนไขของการให้ประกันตัว ขณะเดียวกันหากกำหนดให้ต้องลบข้อความอาจทำให้เข้าใจได้ว่าการกระทำที่ถูกกล่าวหาเป็นความผิดโดยที่ยังไม่เข้าสู่การพิจารณา นอกจากนี้ ไผ่ ดาวดิน แจ้งต่อศาลอย่างชัดเจนว่าเหตุผลที่ไม่ลบข้อความในเฟชบุ๊ค เพราะต้องการเก็บเป็นพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้คดีในชั้นพิจารณา ที่สำคัญไผ่ ดาวดิน จะต้องสอบวิชาสุดท้ายเพื่อให้สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีในวันที่ 17-18 ม.ค.ที่ผ่านา แต่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวเพื่อไปสอบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออนาคตของเยาวชนคนหนึ่ง นี่เป็นเหตุผลด้านมนุษยธรรมพื้นฐานที่ขาดหายไปของศาล

               ส่วนการทีไผ่ ดาวดิน โพสรูปภาพหรือข้อความทางเฟชบุ๊คหลังได้รับการปล่อยชั่วคราว โดยศาลเห็นว่าเป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์เย้ยหยันอำนาจรัฐ คนส. เห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการแสดงออกซึ่งสิทธิเสรีภาพที่สามารถกระทำได้ การเย้ยหยันอำนาจรัฐหรือไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองไม่อาจใช้เป็นเหตุในการไม่อนุญาตให้ประกันตัว อีกทั้งการไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวก็เป็นข้อยกเว้นในทางกฎหมาย ซึ่งในทางนิติวิธีจะต้องพิจารณาอย่างเคร่งครัด การที่ศาลจังหวัดขอนแก่นเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ยกคำร้องอุทธรณ์ จึงสร้างความเคลือบแคลงสงสัยแก่สังคม และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มนักกฎหมายว่า การพิจารณาดังกล่าวอาจไม่มีฐานทางกฎหมายรองรับ

              คนส.และผู้มีรายชื่อแนบท้ายจำนวน 352 รายชื่อ จึงขอเรียกร้องดังนี้ 1. ในระยะยาวถึงเวลาที่บุคลากรในองค์กรตุลาการจะต้องพิจารณาอย่างจริงจังถึงภาวะวิกฤตศรัทธาที่ประชาชนมีต่อพวกท่าน และหาแนวทางแก้ไขหรือปฏิรูประบบยุติธรรมของไทย ทั้งนี้ องค์กรตุลาการพึงปฏิบัติหน้าที่ปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาขนในฐานะคุณค่าที่ได้รับการรับรองโดยกติการะหว่างประเทศ ที่ผูกพันประเทศไทย ต้องตระหนักและแสดงบทบาทในการตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามนำติรัฐและนิติธรรม มิใช่ประพฤติตนเสมือนเป็นผู้พิทักษ์อำนาจรัฐอันไม่ชอบธรรมนั้นเสียเอง 2. ในระยะเฉพาะหน้าขอให้ศาลทบทวนพิจารณาเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวไผ่ ดาวดิน เมื่อมีการยื่นคำร้องตามกระบวนการทางกฎมหายเพื่อคืนสิทิ์อันพึงมีให้กับไผ่ ดาวดิน     และฟื้นฟูความปกติให้กระบวนการยุติธรรมและหลักการพื้นฐานของนิติรัฐ

             เหตุผลในการไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนายไผ่ ดาวดิน เป็นคำสั่งที่ไม่มีกฎหมายรองรับ การยื่นหนังสือครั้งนี้ที่คนส.ยื่นต่อประธานศาลฎีกา และยังได้ส่งจดหมายถึงประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาค และหัวหน้าศาลจังหวัดทุกจังหวัดอีกประมาณ 200 กว่าฉบับ เพื่อให้นำไปประกอบการพิจารณาในการยื่นคำร้องขอฝากขังในวันที่ 1 ก.พ.นี้ ซึ่งในวันดังกล่าวไผ่ ดาวดินจะยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวอีกครั้ง สำหรับเนื้อหาในจดหมายเปิดผนึกกลุ่มนักวิชาการได้พิจารณาอย่างรัดกุมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาและสถานที่อยู่ในวิสัยที่ทำได้โดยไม่ละเมิดอำนาจศาล อย่างไรก็ตาม คนส.จะติดตามผลการพิจารณาของศาลในวันที่ 1 ก.พ.นี้ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร หากไผ่ ดาวดิน ยังไม่ได้รับการประกันตัวก็จะคิดวิธีเคลื่อนไหวอื่นๆ ต่อไป และประสานไปยังองค์กรต่างประเทศที่ทำงานเกี่ยวกับความยุติธรรมเพื่อขยายความร่วมมือในการเคลื่อนไหว

             “ส่วนเหตุผลที่ส่งจดหมายไปยังผู้พิพากษาทั่วประเทศ เพราะคนส.เชื่อมั่นว่ายังมีผู้พิพากษาที่มีใจเที่ยงธรรม รู้ดีว่ามีอะไรเกิดขึ้นในบ้านเมือง จึงอยากให้ผู้พิพากษาออกมาพูดหรือมาทำอะไรบ้าง ซึ่งในกรณีไผ่ ดาวดิน มีคนโพสข้อความกว่า 2,800 คน แต่มีไผ่ ดาวดิน คนเดียวที่ถูกดำเนินคดี โดยหาคำอธิบายไม่ได้ว่าทำอะไรที่แตกต่างไปจากคนเหล่านั้น” นายอนุสรณ์ กล่าว