ข่าว

สนช.เห็นชอบ 228 เสียง แก้ไขรธน.ฉบับชั่วคราวปี 57

สนช.เห็นชอบ 228 เสียง แก้ไขรธน.ฉบับชั่วคราวปี 57

13 ม.ค. 2560

สนช.เห็นชอบ แก้ไขรธน.ฉบับชั่วคราวปี 57 ปลดล็อกผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์- ให้อำนาจนายกฯขอรับพระราชทาน รธน.ฉบับประชามติมาแก้ไขปรับปรุง

 

            13 ม.ค.60 -เมื่อเวลา 10.10 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช2557 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่...)พ.ศ.... ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เป็นผู้เสนอมา โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมว.ยุติธรรม เป็นตัวแทนครม.และ คสช.โดยเป็นการพิจารณา 3 วาระรวด

          นายวิษณุ ชี้แจงเหตุผลการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) ปี 2557 ต่อที่ประชุมสนช. ว่า การแก้ไขครั้งนี้ มีหลักการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ใน 2 ประเด็น คือ 1.การเพิ่มข้อความใหม่ในวรรคสาม ของมาตรา 2 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในบางกรณี 2.การแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 39/1 วรรคสิบเอ็ด เกี่ยวกับการให้อำนาจนายกรัฐมนตรีขอพระราชทานนำร่างรัฐธรรมนูญที่ทูลเกล้าฯ ถวาย กลับมาปรับปรุงแก้ไขในบางประเด็นอีกครั้งหนึ่งและนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายใหม่ภายในเวลาที่กำหนด

            นายวิษณุ กล่าวว่า ทั้งนี้นายกฯ ได้นำร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย วันที่ 8 พ.ย.2559 โดยอยู่ระหว่างในพระราชอำนาจที่ทรงพิจารณา ภายใน 90 วัน แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวสำนักราชเลขาธิการแจ้งมายังรัฐบาลว่า มีข้อสังเกตบางประการ สมควรที่รัฐบาลจะรับไปดำเนินการ เมื่อรัฐบาลพิจารณาข้อสังเกตร่วมกับคสช.แล้ว เห็นเป็นข้อสังเกตที่สมควรจะดำเนินการในขณะนี้หากผัดผ่อนรอดำเนินการ ให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้วค่อยแก้ไขแม้กลไกทางกฎหมายจะทำได้ แต่จะเกิดปัญหายุ่งยาก เพราะเมื่อรัฐธรรมนูญกลายเป็นกฎหมายแล้ว การแก้ไขเพิ่มเติมบางข้อความ บางมาตรา หรือบางหมวด จะต้องนำไปให้ประชาชนออกเสียงประชามติจะเป็นภาระผูกพันต่อไปอีกยืดยาวและกระทบต่อเรื่องอื่นๆ ตามมาหลายเรื่อง แต่หากสามารถปรับปรุงแก้ไขให้เสร็จสิ้นขณะนี้ และนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงพิจารณาใหม่น่าจะเป็นการชอบด้วยวิธีปฏิบัติทั้งปวงจะเป็นการเหมาะสม ไม่เกิดความยุ่งยากขึ้น

             นายวิษณุ กล่าวว่า ส่วนที่จะมีผู้นึกว่า ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติแล้ว การจะขอรับพระราชทานกลับมาแก้ไขจะชอบด้วยเหตุผลประการใด ขอเรียนว่า เมื่อรัฐบาลนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแล้ว จะอยู่ในพระราชอำนาจ ในฐานะองค์พระประมุข ที่จะทรงลงพระปรมาภิไธยรัฐธรรมนูญและเป็นที่ทราบทั่วไปว่า ร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างพ.ร.บ.ใดที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่ทรงพิจารณา หากไม่ทรงเห็นชอบด้วยก็พระราชทานกลับคืนทั้งฉบับดังที่เกิดมาแล้วในอดีต เช่น สมัยรัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 9 โดยไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐสภาที่จะดำเนินการต่อไปอย่างไร  ดังนั้นรัฐบาลและคสช.จึงเห็นควรทำในบัดนี้ให้ถูกต้องและถูกกฎหมาย โดยถือว่า ทั้งหมดอยู่ในชั้นการใช้พระราชอำนาจคือ การขอแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 ให้นายกฯขอพระราชทานนำกลับคืนมาแก้ไขเพื่อให้เกิดความชอบธรรมที่จะขอกลับมาปรับปรุงแก้ไข ที่จะต้องมีขั้นตอนรอบคอบรัดกุม

             จากนั้นสมาชิกสนช.ได้อภิปรายสนับสนุนหลักการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 และลงมติรับหลักการวาระแรก โดยการขานชื่อเป็นรายบุคคลด้วยคะแนน 229 งดออกเสียง 3 เสียง

               ต่อมาที่ประชุมสนช.ตั้งกรรมาธิการเต็มสภา เพื่อพิจารณาเรียงตามมาตรา ในวาระ 2 ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 4 มาตรา ตามร่างที่ครม.และคสช.เสนอมา  โดยนายวิษณุแจ้งว่า ครม.และคสช.ขอปรับปรุงถ้อยคำในมาตรา 3 ให้เกิดความชัดเจนขึ้นจากเดิมระบุว่า “ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง” เป็น “ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง และเมื่อกรณีเป็นไปตามมาตรานี้แล้ว มิให้นำความในมาตรา 18 มาตรา 19 และมาตรา 20 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาใช้บังคับ”

            สำหรับสาระสำคัญของมาตรา 18, 19 และ20 ของรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2550 คือ ในกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อผู้ใดสมควรดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ และในระหว่างที่ไม่มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน

            ขณะเดียวกันนายวิษณุยังแจ้งต่อที่ประชุมสนช.ว่า ครม.และคสช.ขอปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำในมาตรา 4 เพื่อให้เกิดความชัดเจนและปฏิบัติได้จริง โดยเพิ่มถ้อยคำจากเดิมที่ระบุว่า “ให้สามารถแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านการออกเสียงทำประชามติตามข้อสังเกตที่พระมหากษัตริย์พระราชทาน” เป็น “ให้สามารถแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านการออกเสียงทำประชามติตามข้อสังเกตที่พระมหากษัตริย์พระราชทานและประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกันได้”

             จากนั้นที่ประชุมสนช.ลงมติในวาระ 3 ด้วยการขานชื่อรายบุคคล เห็นชอบคะแนน 228 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง ซึ่งมติให้ความเห็นชอบมีคะแนนเสียงไม่น้อยว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ จึงถือว่าที่ประชุมเห็นชอบด้วยให้ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญต่อไป เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไปและปิดประชุมในเวลา 12.50 น. ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 40 นาที