
"จอห์นนี่"มือปราบล่าปฏิทินโจร
ความมืดแผ่ปกคลุมท้องฟ้าของมหานครยังไม่เต็มชั่วโมง รีวอลเวอร์ .22 ทูตมรณะจากมือที่ชำนาญก็กระชากวิญญาณ "เรืองดาว ณะขุนขันธ์" สาววินมอเตอร์ไซค์วัย 27 ปี หลุดลอยออกจากร่างอย่างไม่มีวันกลับ ขณะขี่จักรยานยนต์คู่ชีพรับจ้างอยู่ในซอยลาดพร้าว 10 เมื่อปีที่แล้ว...
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญ สร้างความหวาดหวั่นให้ผู้คนถึงความแค้นฝังใจของฆาตกร ซึ่งมีเรื่องบาดหมางกับสามีของเรืองดาว ก่อนจะลอบยิงจนพิการ ส่งให้เรืองดาวต้องออกมาขี่รถมอเตอร์ไซด์รับจ้างแทนสามี กระทั่งถูกตามยิงเสียชีวิตดับแค้นแทนสามีไปอีกคน
ด้วยพฤติกรรมแสนโหดเหี้ยมตำรวจจึงตั้งทีมไล่ล่า "สมดี สุขะพล" ฆาตกรเลือดร้อนไม่นานก็ได้ตัวมารับโทษประหาร ยังเหลือก็แต่ "สุนทอน สีดา" คนขี่รถจักรยานยนต์ให้มือปืนกลายเป็นผู้ต้องหาที่ตำรวจนครบาลต้องการตัวเป็นอันดับ 2 ตามปฏิทินหมายจับค่าหัว 1 แสนบาทในปัจจุบัน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นอดีตโดยฝีมือของ "ส.ต.อ.ยุทธพล ศรีสมพงษ์" ผบ.หมู่งานสืบสวน สน.บางเขน ช่วยราชการสำนักงานผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (บก.น.1) หรือที่เพื่อนๆ และผู้บังคับบัญชารู้จักในนาม "จอห์นนี่"
สบายๆ สไตล์สีกากีฉบับนี้จะพาไปพบกับมือปราบนักล่าปฏิทินโจร เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ผมยาวประบ่า วันนี้อยู่ในเชิ้ตแขนยาวลายสกอตสีฟ้า กางเกงยีนเก่าๆ มีรอยขาดที่หัวเข่า มีสถานที่นัดพบในร้านกาแฟใจกลางเมือง...ทันทีที่พบหน้าหลังจากทักทายตามธรรมเนียมไทยๆ แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องการติดตามล่าโจรในปฏิทินหมายจับ ซึ่งกินเวลานานร่วมเดือนเศษ
เริ่มแรกเขาเดินทางไปยังบ้านเกิดของสุนทอนที่ จ.นครพนม แต่ก็คลาดกันและออกตามรอยไปยังหนองคายก็ยังไม่พบตัว จากอีสานมาสู่ระยองบ้านเกิดของมหากวีสุนทรภู่แห่งภาคตะวันออก ก่อนจะลงไปใต้ถึงสุราษฎร์ธานี ระหว่างนี้แม้จะพลาดเป้า แต่ก็ได้เบาะแสคืบหน้าเป็นระยะๆ กระทั่งได้ข่าวว่าสุนทอนหลบไปอยู่ในสวนปาล์มแห่งหนึ่งใน อ.เขาพนม จ.กระบี่ จอห์นนี่เลยต้องลงทุนปลอมเป็นคนงานจากอีสานเข้าไปทำงานคลุกคลีอยู่ในสวนปาล์ม แล้วจึงประสานกำนันและอาสาหมู่บ้าน รวบตัวสุนทอนขึ้นรถกลับเข้ากรุงปิดคดี
จอห์นนี่ฝันอยากเป็นนายตำรวจตั้งแต่วัยเยาว์ เขามีพ่อเป็นตำรวจฝ่ายสืบสวน สภ.อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี คอยช่วยพ่อหิ้วกระเป๋าเจมส์บอนด์ออกตรวจที่เกิดเหตุเป็นประจำ จนซึมซับการเป็นตำรวจนักสืบ กระทั่งโตขึ้นก็อยากเดินตามรอยเท้าพ่อด้วยการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน แม้จะพลาดหวังแต่ความฝันจะเป็นตำรวจยังคงอยู่ จึงไปสอบเข้าโรงเรียนตำรวจนครบาลบางเขน เป็นนักเรียนพลตำรวจนครบาลรุ่น 74 ได้เป็นตำรวจนักสืบสมดั่งใจ โดยมีแรงบันดาลใจจากมือปราบชั้นครูและขั้นเทพในแวดวงสีกากีอย่าง พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผบช.ภ.3 พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์ รอง ผบก.น.2 และ พ.ต.อ.ปรีชา ธิมามนตรี รอง ผบก.ศส.บช.น.เป็นแบบอย่างนั่นเอง
นอกจากตามจับสุนทอน สีดา ผู้ต้องหามีค่าหัวแล้ว จอห์นนี่ได้ทำหน้าที่สืบสวนจับกุมคนร้ายมาหลายคดี แต่ที่ติดอยู่ในความทรงจำในอันดับต้นๆ คือ คดีเป๋ไก่บุกเคาะห้องข่มขืนนักศึกษา เมื่อปลายปี 2550 เขาได้รับคำสั่งด่วนจากผู้บังคับบัญชาให้ไปแฝงตัวหาข่าวคนร้ายที่ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ โดยปลอมตัวเป็นชาวนาอยู่ในป่า 7 วันด้วยเสื้อผ้าชุดเดียว เงินที่ติดตัวไปก็หมดจึงโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจาก พ.ต.อ.วิชัย สังข์ประไพ ที่โดนพิษการเมืองเด้งจากนครบาลไปเป็นรองผู้การฯ บุรีรัมย์ นายตำรวจใหญ่ถึงกับขับรถนำเงิน 2,000 บาทมาให้ด้วยตัวเอง จนสามารถจับกุมคนร้ายได้ พ่อแม่ผู้เสียหายนำกระเช้าดอกไม้มาให้เป็นกำลังใจ...นั่นคือความประทับใจที่ได้ทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างเต็มภาคภูมิ
"ผมมองว่าการเป็นสายสืบต้องทุ่มเท ผู้เสียหายก็เหมือนญาติพี่น้องเรา โดยเฉพาะคดีเกี่ยวกับทรัพย์ผมจะสนใจมาก อยากช่วยเหลือผู้เสียหาย เช่น สาวโรงงานได้ค่าแรงไม่กี่ร้อยบาทยังมาถูกโจรจี้ปล้นอีก ยังมีพวกแก๊งทุบรถขโมยของมีค่า อย่างโน้ตบุ๊กมีข้อมูลสำคัญอยู่ หรือคดีข่มขืนทำไมต้องมาทำกับผู้หญิงด้วย ผมยอมไม่ได้ การสืบสวนคดีต่างๆ ผมทำเพราะความรัก อุดมการณ์ และสนุก ผมเจออะไรมาเยอะ รับมือกับโจรผมไม่เคยกลัว กลัวตำรวจด้วยกันมากกว่า แต่ผมก็รักอาชีพตำรวจ ไม่อยากให้ใครมาทำร้าย ผมยอมตายแทนตำรวจกว่า 2 แสนคนได้" ส.ต.อ.ยุทธพลยืนยันด้วยรอยสักตราโล่ตำรวจที่อกซ้าย ซึ่งเขาภาคภูมิใจเป็นที่สุดกับความเป็นตำรวจ
ถามว่าบางจังหวะชีวิตมีท้อแท้บ้างไหม ส.ต.อ.ยุทธพลยอมรับว่าเคย แต่เขาเลือกที่จะไม่ถอย แต่จะพักใจไม่กี่นาทีด้วยการโทรศัพท์ไปหาพ่อ แค่นั้นกำลังใจก็กลับคืนมาอย่างท่วมท้นจนมีแรงฝ่าฟันต่อไปได้ นอกจากนี้ เขายังได้กำลังใจจากบรรดานักโทษที่เขาส่งเข้าเรือนจำ...นั่นเอง
"เวลาว่างๆ ผมจะซื้อของไปเยี่ยมผู้ต้องขังที่เรือนจำคลองเปรม พวกเขาไม่ค่อยมีญาติมาเยี่ยม เหมือนเป็นการทำบุญ ตอนผมจับจะพูดคุยด้วยเหตุผลว่า เกมแพ้แล้วก็ต้องแพ้นะ ลูกผู้ชายแพ้แล้วก็ต้องยอมรับ เวลาเขาได้รับโทษก็ไปเยี่ยมบ่อยๆ จนสนิทกัน มีอะไรดีๆ ก็มาเล่าสู่กันฟัง บางคนก็เขียนจดหมายมาคุยด้วยประจำ" จอห์นนี่เล่าถึงกำลังใจจากหลังกำแพงกรรม พร้อมโชว์ซองจดหมายสีเขียวและชมพูเขียนด้วยลายมือบรรจง บอกเล่าสารทุกข์สุกดิบของตัวเองผ่านตัวอักษร
"...สวัสดีครับพี่ วันนี้ผมคิดถึงพี่จังเลย เลยเขียนจดหมายมาหาหน่อย ผมดีใจมากที่พี่เสียสละเวลามาเยี่ยมผม ตอนนี้ผมเหลืออีก 1 เดือนก็จะได้ลงซอยและถอดตรวนแล้ว ผมจำคำที่พี่บอกผม ผมจะเก็บไว้เตือนใจตัวเองเสมอ เวลาทำอะไรผมก็จะคิดถึงพี่ตลอด..." นี่คือหนึ่งในจดหมายจากโทมัส เขียนจากคลองเปรม ดี 5 ลาดยาว จตุจักร กรุงเทพฯ
ดูเหมือนสบายๆ สไตล์สีกากีฉบับนี้จะออกไปทางแนวบู๊เข้มข้น ทว่าจริงๆ แล้วยามว่างปลอดงานจับผู้ร้ายจริงๆ จอห์นนี่มือปราบก็เป็นเหมือนชายหนุ่มทั่วไปที่หลงใหลกีฬาดวลแข้งถึงขั้นโปรดปราน ว่างเป็นไม่ได้เป็นต้องตามไปเชียร์สโมสรเพื่อนตำรวจ นัดไหนๆ จะเห็นเขายืนตะโกนเชียร์สุดใจขาด
"ตำรวจสู้ๆ"
"เราจะมาทวงความยิ่งใหญ่ให้แก่ฟุตบอลตำรวจไทยในนามสโมสรเพื่อนตำรวจ"
ฯลฯ
แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาสามารถทำให้ตำรวจได้อย่างการเชียร์ฟุตบอล และเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆ ที่ดูเหมือนไม่สลักสำคัญอะไร เมื่อเปรียบกับองค์กรตำรวจทั้งระบบมีกำลังพลกว่า 2 แสนนาย ทว่าเขาก็รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมอันเกี่ยวกับอาชีพตำรวจที่เขารัก
ทีมข่าวรายงานพิเศษ : เรื่อง