เมื่อสหรัฐอเมริกากำลังจะอยู่ภายใต้ผู้นำคนใหม่ที่ไม่เชื่อว่าโลกจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อยับยั้งสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
สหรัฐอเมริกาได้ประธานาธิบดีคนใหม่ เป็นใครมาจากพรรคไหน มีแนวนโยบายอย่างไร ย่อมมีผลกระทบกว้างไกลต่อโลกทุกครั้งไป แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่การมาถึงของคณะทำงานทำเนียบขาวชุดใหม่ จะทำให้อนาคตโลกใบนี้มีเดิมพันสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน เพราะคนที่ระบบเลือกตั้งสหรัฐฯส่งขึ้นมาเป็นบุคคลทรงอิทธิพลที่สุดของโลก คือผู้ที่ปฏิเสธ ไคลเมต เชนจ์ หรือสภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง จากน้ำมือมนุษย์
The concept of global warming was created by and for the Chinese in order to make U.S. manufacturing non-competitive.
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) November 6, 2012
ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่เคยลงรายละเอียดของนโยบายสิ่งแวดล้อมในทางปฏิบัติ แต่จากการแสดงความผ่านทวิตเตอร์และการปราศรัยหลายครั้งก็พอจะเห็นภาพ โดยเฉพาะทวิตบันลือโลกเมื่อวันที่ 6 พ.ย.2555 ที่ทรัมป์ไปไกลถึงขั้นว่า นอกจากไม่จริงแล้ว แนวคิดเรื่องโลกร้อนยังเป็นเรื่องลวงโลกที่จีนกุขึ้นมาเพื่อลดความสามารถแข่งขันของสหรัฐ
ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 45 ยังสัญญาจะยกเลิกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่ออกมาในสมัยบารัก โอบามา ยุบสำนักงานคุ้มครองสภาพแวดล้อม (อีพีเอ ) หน่วยงานที่กำกับกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม และไคลเมต เชนจ์ จะพาสหรัฐถอนตัวจากข้อตกลงปารีสที่ 195 ประเทศลงนามเมื่อปีที่แล้ว ฟื้นฟูอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินที่กำลังโรยรา เปิดพื้นที่ป่าคุ้มครองบางแห่งให้ตัดไม้ได้ และยุติการอุดหนุนพลังงานสะอาดทั้งหมด
เอริช พีกา ประธาน เฟรนดส์ ออฟ ดิ เอิร์ธ สหรัฐ ออกปากว่า นี่เป็นแนวนโยบายต่อต้านสภาพแวดล้อมที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
ไมรอน อีเบลล์ ไม่รู้จักไม่ได้
เมื่อเตรียมทีมรับการถ่ายโอนอำนาจ ว่าที่ผู้นำสหรัฐ ได้ตั้ง ไมรอน อีเบลล์ เป็นหัวหน้าทีมรับช่วงต่อจากอีพีเอ บุคคลผู้นี้คือนักปฏิเสธไคลเมต เชนจ์ แถวหน้า มักปรากฏตัวในสื่อและให้การต่อสภาคองเกรสในฐานะตัวแทนฝ่ายที่ยังกังขาการมีอยู่จริงของไคลเมต เชนจ์ จากน้ำมือมนุษย์
หัวหอกใหม่ของอีพีเอในช่วงเปลี่ยนผ่าน เป็นประธาน Cooler Heads Coalition แนวร่วมหลวมๆขององค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ประกาศตัวอยู่ตรงข้ามกับพวก”ตื่นกลัว”ไคลเมต เชนจ์ ภารกิจของกลุ่มตามที่ระบุบนเวบไซต์คือ มุ่งขจัด“มายาคติ”โลกร้อน ด้วยการตอบโต้จุดอ่อนรายงานวิเคราะห์ความเสี่ยง วิทยาศาสตร์และเศรษฐกิจ
อีเบลล์ ยอมรับว่า หลายปีมานี้ โลกร้อนขึ้นนิดหน่อย แต่เป็นปรากฏการณ์ความแปรปรวนทางธรรมชาติปกติ และไม่ว่าจะเกิดจากน้ำมือมนุษย์หรือไม่ ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล หรือต่อให้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องจริง อาจไม่ได้แย่เสมอไป เขาเขียนไว้ในบทความเรื่อง “รักโลกร้อน” เมื่อปี 2549 ว่า หากข้อสันนิษฐานโลกร้อนเป็นความจริง ก็น่าจะมีประโยชน์เหมือนกัน เช่น พายุฤดูหนาวอาจลดความรุนแรงลง และหลายพื้นที่ของโลกจะน่าอยู่ยิ่งกว่าเดิมก็ได้ ทั้งกล่าวถึงการเข้าร่วมข้อตกลงปารีสของรัฐบาลโอบามาว่า ขัดรัฐธรรมนูญ
นิตยสาร วานิตี แฟร์ รายงานว่าสถาบัน Competitive Enterprise ที่อีเบลล์ทำงานอยู่ เคยได้รับงบสนับสนุนจากเอ็กซอนโมบิล ยักษ์ใหญ่ในอุตสากรรมน้ำมัน ในช่วงปี 2541-2548 จำนวน 2 ล้านดอลลาร์ จากงบทั้งหมด 3.7 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ยังได้เงินสนับสนุนบางส่วนจากสถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน แต่เขายืนยันว่า เงินบริจาคก็ส่วนบริจาค ไม่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำ
ภารกิจหลักของอีเบลล์ อาจไม่ใช่การประสานงานรับช่วงต่อ แต่เป็นการเตรียมยุบอีพีเอ ตามที่ทรัมป์สัญญาว่าจะทำทันที่ที่รับตำแหน่ง
อีพีเอ เป็นองค์กรที่อดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน จากรีพับลิกัน ตั้งขึ้นในปี 2513 แต่นโยบายของพรรครีพับลิกัน ที่ได้รับการรับรองจากที่ประชุมใหญ่พรรคเมื่อเดือนกรกฎาคม 2559 เสนอให้ยุบอีพีเอแล้วเปลี่ยนมาเป็นคณะกรรมการอิสระไม่แบ่งฝ่าย คล้ายกับคณะกรรมการกำกับนิวเคลียร์
แผนพลังงาน(ไม่)สะอาด
ทรัมป์เตรียมยกเลิกแผนการพลังงานสะอาด ( Clean Power Plan ) ของประธานาธิบดีโอบามา ที่ถือเป็นเครื่องมือหลักในการบังคับให้รัฐต่างๆต้องควบคุมปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงไฟฟ้า โดยหากขาดกลไกนี้ จะเป็นไปไม่ได้เลยที่สหรัฐจะสามารถรักษาพันธกรณีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามข้อตกลงปารีส
พรรครีพับลิกันที่กำลังจะคุมทั้งสองสภา มีแผนจะยุบอำนาจในการจำกัดการปล่อยกาซคาร์บอนของอีพีเอ แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดว่า แล้วจะมีระเบียบใดมาแทน จะจำกัดการปล่อยก๊าซโดยใช้กลไกอิงระบบตลาดมาช่วยหรือไม่ แจ้งแค่ว่า พรรคคัดค้านภาษีคาร์บอนทุกรูปแบบ จะมุ่งใช้แนวทางอิงเทคโนโลยีที่เป็นกลาง ห้ามอุดหนุนเทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่ควรมาจากทุนสนับสนุนของเอกชนอย่างเดียว สนับสนุนการพัฒนาพลังงานทุกรูปแบบ ที่สามารถซื้อขายได้ในตลาดเสรีโดยปราศจากการอุดหนุน รวมถึงน้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ พลังงานนิวเคลียร์และพลังงานน้ำ
รีพับลิกัน กล่าวหารัฐบาลเดโมแครตภายใต้ประธานาธิบดีโอบามาว่า มีวาระต่อต้านถ่านหินแบบสุดโต่ง พรรคเดโมแครตไม่เข้าใจว่า ถ่านหินเป็นทรัพยากรพลังงานในประเทศที่พึ่งพาได้ ไม่แพง สะอาดและมีอยู่อย่างดาษดื่น ทิศทางด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศในช่วงที่ผ่านมา สนองตอบพวกชนชั้นนำที่ตั้งอยู่บนกลยุทธสร้างความหวาดกลัว วิทยาศาสตร์คุณภาพต่ำ และการออกระเบียบแบบรวมศูนย์ควบคุมและสั่งการ
ไม่ร่วมกระบวนการยูเอ็น
ทรัมป์สัญญาหลายครั้งว่า จะพาสหรัฐออกจากข้อตกลงที่ทั่วโลกเห็นพ้องลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในกรุงปารีสเมื่อปีที่แล้ว และประธานาธิบดีบารัก โอบามา ลงนามเป็นกฎหมายแล้ว คำสัญญาของทรัมป์ก็อยู่ในแนวนโยบายของรีพับลิกัน แต่พรรคไปไกลกว่ านั้นอีกเมื่อเรียกร้องให้สหรัฐยุติการสนับสนุนงบประมาณให้กับกรอบการทำงานอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยไคลเมต เชนจ์ (UNFCCC) ที่จะจัดการประชุมสุดยอดว่าด้วยเรื่องนี้และติดตามความก้าวหน้าของแต่ละประเทศเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ ยังเสนอให้ห้ามใช้ผลการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ที่มาจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยไคลเมตเชนต์ มาใช้เป็นเหตุผลสำหรับการออกกฎหมายอีกด้วย
อย่างไรก็ดี เนื่องจากรัฐบาลประธานาธิบดีโอบามาให้สัตยาบันอย่างรวดเร็ว เลยเป็นเรื่องยากที่ทรัมป์จะพาสหรัฐถอนตัวจากข้อตกลงได้ง่ายในเชิงกฎหมาย กระนั้น เนื่องจากไม่มีบทลงโทษการไม่ปฏิบัติตาม การเพิกเฉยข้อตกลง ก็ทำได้เช่นกัน หากไม่สนใจว่าสหรัฐจะมีสถานะอย่างไรในสายตาชาวโลก และจะมีผลพัวพันอย่างไรกับการดำเนินความสัมพันธ์กับผู้นำต่างประเทศที่ต่างก็เห็นดีกับข้อตกลงนี้
ขุดเจาะน้ำมัน-เปิดป่าคุ้มครอง
พรรครีพับลิกัน ต้องการให้ยกเลิกกฎระเบียบคุ้มครองธรรมชาติภายใต้การกำกับอีพีเอ หรือถ่ายโอนอำนาจให้แต่ละรัฐไปจัดการเอง ควรลดขอบข่ายกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชใกล้สูญพันธุ์ เพื่อไม่ขึ้นบัญชีใกล้สูญพันธุ์กับสัตว์บางชนิดที่อาจมีอยู่เป็นจำนวนมากในบางแหล่ง เพราะกฎหมายข้อนี้ สกัดกั้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ทำให้โครงการก่อสร้างต่างๆต้องชะงัก และเป็นภาระกับเจ้าของที่ดิน พื้นที่ป่า 200 ล้านเอเคอร์ที่เคยได้รับการคุ้มครองจากรัฐบาลกลาง ควรนำมาใช้สร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจแก่ประเทศอย่างดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำไม้สัก
ส่วนที่ดินสาธารณะควรเปิดให้กับการสำรวจน้ำมันและก๊าซ รวมถึงที่ดินในไหล่ทวีปรอบนอกของอเมริกา ควรเร่งให้เกิดการสำรวจดังกล่าว และดึงแร่ธาตุขึ้นมาใช้
( ซาราห์ เพ-ลิน )
ในโผดรีมทีมด้านพลังงานของทรัมป์ ก็น่าสนใจว่า มีชื่อของ ฮาโรลด์ ฮัมม์ มหาเศรษฐี และลอบบี้ยิสต์แถวหน้าของอุตสาหกรรมน้ำมัน ที่อาจมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีพลังงาน ส่วนอดีตผู้สมัครชิงรองประธานาธิบดีอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว ซาราห์ เพ-ลิน อาจมานั่งรัฐมนตรีมหาดไทย หน่วยงานที่จะดูแลเรื่องที่ดินสาธารณะ อันรวมถึงสมบัติชาติ อาทิ อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน และอุทยานแห่งชาติ โยซิมิตี ช่างสอดคล้องกับนโยบายที่กล่าวมา เนื่องจากเพ-ลิน อยู่ฝ่ายสนับสนุนขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ครั้งหนึ่งเธอกล่าวว่า เชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทิ้งลงมาเป็นส่วนหนึ่งของโลกเพื่อให้มนุษย์ใช้สอย
( ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับวันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 )
ข่าวที่เกี่ยวข้อง