
"มิถิลา"ยังไม่สิ้นคนดี
โดย - อาจารย์ยักษ์ ณ มหาลัยวิทยาลัยคอกหมู
เรื่องราวความเป็นไป และปัญหาของเมือง "มิถิลา" ที่สะท้อนในบทพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” แห่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 คงไม่แตกต่างกับปัญหาของเมืองไทยที่พระองค์ท่านต้องการชี้ให้เห็น มิถิลายังไม่สิ้นคนดี แล้ว สยามประเทศล่ะสิ้นคนดีหรือยัง!
ทว่า ตัวอย่างความสำเร็จของพลังความร่วมมือที่สะท้อนว่า มิถิลา สยามประเทศยังไม่สิ้นคนดี ฉายแววเมื่อเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ที่ จ.สระแก้ว เมื่อเบญจภาคี จากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม-สื่อ และภาคประชาชน สามารถประกอบร่าง เป็นพลังขับเคลื่อน เพื่อร่วมกันพลิกฟื้นแผ่นดินที่ครั้งหนึ่งเคยมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ แต่ครั้งนั้นได้ถูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวจากต่างชาติอย่าง ต้นยูคาลิปตัส รุกรานยึดครองให้กลับฟื้นคืนชีพ
การประกอบร่างของเบจญภาคีเกิดขึ้นสมบูรณ์อย่างเป็นทางการในการลงนามของทุกภาคี เมื่อวันศุกร์ที่ 30 มีนาคมในปี 2550 ภายใต้โครงการ “เศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพลังงานทดแทนและป่าต้นน้ำ จ.สระแก้ว” ในอันที่จะขับเคลื่อนให้ผืนดินที่แห้งแล้งกลับมาชุ่มชื้นด้วยป่า มีน้ำ มีพลังงาน สร้างเส้นทางแห่งการพึ่งตนเอง และภูมิคุ้มกัน ให้กับชุมชนคนสระแก้ว ซึ่งจะกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นตัวอย่างให้จังหวัดอื่นได้เรียนรู้
ความสำเร็จที่ว่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล เกิดจากความรู้ที่ถูกต้อง ความเพียรอันบริสุทธิ์ และจิตสำนึกเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ เป็นที่ตั้ง โดยมีเงื่อนไขที่สำคัญยิ่ง 4 ประการ
1.เริ่มต้นจากความคิดความเชื่อจิตใจที่มั่นคงชัดเจน ว่าการดำเนินตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง คือทางรอดของประเทศ องค์ความรู้และศาสตร์ที่พระองค์ท่านได้ให้ไว้ คือหนทางที่ดีที่สุดในการแก้วิกฤติชาติ ความสมดุลระหว่างระบบนิเวศน์ และระบบเศรษฐกิจ คือหนทางการพัฒนาที่ถูกต้องยั่งยืน จะเอาระบบเศรษฐกิจนำและทำลายระบบนิเวศน์ไม่ได้ เพราะนั่นเท่ากับเราทำลายตัวเอง หากได้ระบบนิเวศน์ที่สมดุลกลับคืนมา ระบบเศรษฐกิจที่มั่นคง ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว นำมาซึ่งความสุข ความอุดมสมบูรณ์ให้กับผู้คนอย่างแน่นอน
2.เงื่อนไขสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ความรู้ และ เคล็ดลับ ลำพังจิตใจและความเชื่อที่มั่นคงอย่างเดียวคงไม่ก่อให้เกิดอะไร หากไม่มีความรู้ และเคล็ดลับ ที่จะผลักดันให้เกิดเป็นผลในทางปฏิบัติ เช่น ความรู้ในการแก้ปัญหาดินเสื่อม ดินเค็ม โดยใช้หลัก “ห่มดินแล้วให้อาหารดิน” ความรู้ในการแก้ปัญหาน้ำท่วมโดยใช้หลัก “สร้างทางน้ำหลาก” และ “แก้มลิง” รู้จักบำบัดน้ำเสีย ด้วยวิธีการ “อธรรมปราบอธรรม”
3.การวางแผนเตรียมการ และสร้างทุนสำรอง หากเปรียบง่ายๆ กับคน คนหนึ่งที่มีจิตใจเชื่อมั่น มีความรู้เต็มสมอง แต่เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะสามวันดีสี่วันไข้ไม่มีแรงแม้จะเดิน จะประสบความสำเร็จได้อย่างไร มนุษย์ต้องมีทุนสำรองทางสุขภาพที่ดีเช่นไร ประเทศชาติก็เฉกเช่นเดียวกัน ต้องมีทุนสำรองทางธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและสังคมที่ดีเช่นนั้น ถ้ารู้ว่าปัญหาจะมา น้ำจะท่วม แต่หากไม่มีการเตรียมการปัญหาก็จะเกิดซ้ำซาก จนในที่สุดหมดปัญญาเยียวยาแก้ไข ก็จะกลายเป็นวิกฤติ การสร้างทุนสำรองที่เร่งด่วนที่สุดของสยามประเทศในขณะนี้คือ การสร้างดิน สร้างป่า สร้างน้ำ ให้ฟื้นคืนชีวิตกลับคืนมาให้เร็วที่สุด เพื่อเป็นปราการ “คุ้มภัย” และ
4.ระบบบริหารจัดการ การประสานความร่วมมืออย่างเป็นระบบของทุกฝ่าย ปัญหาที่สยามประเทศเผชิญอยู่ในขณะนี้วิกฤติเกินกว่าที่จะแก้โดยลำพังของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
การประสานร่างของเบญจภาคี จ.สระแก้ว ครั้งนั้น สะท้อนถึงการให้ความสำคัญของความร่วมมืออย่างเป็นระบบของทุกฝ่าย จะดำรงอยู่ไม่ได้เลยหากขาดเงื่อนไขของการรวมพลัง การจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งพลังนั้นจะแปรสภาพเป็น movement organization ที่จะผลักดันให้การเคลื่อนไหว เกิดเป็นผลสัมฤทธิ์ เกิดการแก้ปัญหาที่เป็นจริง