ข่าว

“บัญชา”ยื่น สตง.  สอบ ป.ป.ช. จ้างสภาทนายความฟ้องคดีไม่ชอบ

“บัญชา”ยื่น สตง. สอบ ป.ป.ช. จ้างสภาทนายความฟ้องคดีไม่ชอบ

31 ต.ค. 2559

“บัญชา”ยื่นหนังสือผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ฟันกรณีป.ป.ช.จ้างสภาทนายความฟ้องคดี ส่อไม่ชอบด้วยกม.-เสียหายต่องบประมาณแผ่นดิน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ สปท. ในฐานะทนายความ ได้ยื่นหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมต่อผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมาเพื่อประกอบการพิจารณา เกี่ยวกับกรณีที่คณะกรรมการป.ป.ช.ว่าจ้างสภาทนายความฟ้องคดี น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นที่เสียหายต่อการใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน โดยหนังสือดังกล่าวมีใจความสรุปได้ว่า พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ.2528 มาตรา 7 บัญญัติว่า สภาทนายความมีวัตถุประสงค์ให้การศึกษาด้านกฎหมายเพื่อส่งเสริมวิชาชีพให้ทนายความมีความรู้ด้านกฎหมายต่างๆ ไม่มีวัตถุประสงค์หรือเกี่ยวข้องในการรับจ้างคดีความหรือจัดหาทนายความฟ้องคดีต่างๆ อีกทั้งในมาตรา 78 ยังบัญญัติว่า ประชาชนผู้มีสิทธิ์ได้รับการช่วยเหลือทางกฎหมายจะต้องเป็นผู้ยากไร้และไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่านั้น

    เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2557 นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ อดีตนายกสภาทนายความ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการป.ป.ช.จะให้สภาทนายความรับว่าความหลายคดี โดยสภาทนายความจะจัดหาทนายความว่าความให้  เช่น คดีทุจริตจัดซื้อรถดับเพลิง คดีหวยบนดิน คดีกล้ายาง เป็นต้น นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2557 นายอุทิศ สวยรูป รองประธานกรรมการมรรยาททนายความ ปฎิบัติหน้าที่แทน ประธานกรรมการมรรยาททนายความ มีหนังสือแจ้งให้นายบัญชาในฐานะผู้ร้องทราบว่า สภาทนายความมีวัตถุประสงค์ตามมาตรา 7 ไม่เคยรับจ้างเป็นทนายความให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.หรือสำนักงานป.ป.ช. ส่วนการว่าจ้างเป็นการตกลงกันระหว่างคณะกรรมการป.ป.ช.กับทนายความ ไม่เกี่ยวข้องกับสภาทนายความ ซึ่งหนังสือของนายอุทิศขัดกับคำให้สัมภาษณ์ของนายเดชอุดมอย่างชัดแจ้ง ทั้งๆ ที่ทั้ง 2 คนดังกล่าวเป็นผู้บริหารของสภาทนายความ
 
    หากคณะกรรมการป.ป.ช.ว่าจ้างสภาทนายความดำเนินคดีต่างๆ ด้วยเงินสูงหลายล้านบาทในแต่ละคดี จะทำให้หน่วยราชการต่างๆ เช่น กระทรวง ทบวง กรม อบจ. สามารถว่าจ้างสภาทนายความให้จัดหาทนายความฟ้องคดีต่างๆ โดยจ่ายค่าจ้างสูงเทียบเคียงกับคณะกรรมการป.ป.ช.ว่าจ้างสภาทนายความ จะมีผลทำให้เกิดความเสียหายต่อการใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชน ทั้งๆ ที่ต้องนำเงินดังกล่าวใช้พัฒนาประเทศให้มีความเจริญ มิใช่นำเงินมาว่าจ้างสภาทนายความเพื่อจัดหาทนายความดำเนินคดีต่างๆ ให้หน่วยงานราชการ ทำให้เสียเงินงบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นหน่วยราชการ โดยมีอัยการทำหน้าที่ในการดำเนินคดี ซึ่งเป็นทนายความของแผ่นดินตามกฏหมาย หน่วยราชการต่างๆ ไม่ต้องเสียค่าจ้างให้กับอัยการ แต่อัยการกลับไม่ได้ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน
 
    คณะกรรมการคตง.มิใช่ศาล ดังนั้น เพื่อให้เกิดความสง่างามและไม่ทำให้เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยในการทำหน้าที่ของคณะกรรมการคตง. จึงสมควรนำคดีขี้นสู่ศาลเพื่อให้ศาลมีคำวินิจฉัย เพราะศาลเป็นองค์กรสุดท้ายที่มีหน้าที่วินิจฉัยและมีคำพิพากษาเพื่อให้หน่วยงานราชการต่างๆ นำไปศึกษาปฏิบัติให้เป็นไปตามกฏหมาย เหมือนเช่นคดีคณะกรรมการป.ป.ช.ขึ้นเงินเดือนให้ตนเอง ซึ่งศาลพิพากษาว่ามีความผิด ทำให้หน่วยราชการต่างๆ ถือเป็นคดีศึกษา ไม่กล้าขึ้นเงินเดือนให้กับตนเอง ทั้งนี้ หากสุดท้ายศาลมีคำพิพากษาอย่างไร จะไม่ทำให้หน่วยราชการต่างๆ และประชาชนเคลือบแคลงสงสัยในการทำหน้าที่ของสตง.และคณะกรรมการคตง. ถือเป็นการรักษาองค์กรของตนเองให้เป็นที่น่าเชื่อถือและศรัทธาของประชาชนอย่างแท้จริง