
มงคลสูงสุดในชีวิต “ศิริมงคล ลูกศิริพัฒน์” ทำความดีตามพ่อสอน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระเมตตาเรื่องของกีฬามวย พระองค์เคยเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการแข่งขันชกมวยไทยที่เวทีราชดำเนินและลุมพินี
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระเมตตาเรื่องของกีฬามวย ที่ผ่านมา พระองค์เคยเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร การแข่งขันชกมวยไทยที่เวทีราชดำเนินและลุมพินี ในรายการมวยโดยเสด็จพระราชกุศล ทุนนักมวยในมูลนิธิอานันทมหิดล รวมถึงการชกมวยสากลอาชีพ ชิงแชมป์โลก หลายต่อหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งได้สร้างขวัญและกำลังใจให้แก่นักกีฬาอย่างหาที่สุดมิได้
การเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรทุกครั้ง พระองค์มีพระราชดำรัสต่อนักกีฬาหรือผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งได้สร้างความปีติให้แก่ทุกๆ ฝ่าย ได้นำไปเป็นแนวคิด และนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต และในบรรดา นักมวยไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีอยู่เพียงไม่กี่คนที่มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (หรืออาจมีเพียงคนเดียว โดยยกเว้น นักมวยชุดโอลิมปิก, แชมป์มวยโลก หรือรายการมวยไทยโดยเสด็จพระราชกุศล ที่เวทีราชดำเนินหรือลุมพินี ซึ่งในหลวงเสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรที่สนาม) นักมวยผู้โชคดีคนนั้นคือ ศิริมงคล ลูกศิริพัฒน์ หรือ นายเกษม ประไพศรี เจ้าของฉายา “นักชกกตัญญู” ที่เคยชกกับนักมวยร่วมสมัยชื่อดังอย่าง แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์, ผุดผาดน้อย วรวุฒิ, อภิเดช ศิษย์หิรัญ, วิชาญน้อย พรทวี มาแล้ว ซึ่งมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
ศิริมงคล หรือ น้าเษม ยอดนักชกดีกรีแชมป์มวยไทยเวทีลุมพินี 2 รุ่น 126 กับ 135 ปอนด์ จากจ.ฉะเชิงเทรา เล่าย้อนถึงความประทับใจครั้งนั้นว่า
“นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของผมและวงศ์ตระกูล ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะนักกีฬายอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาสมัครเล่นแห่งประเทศไทยปี 2516 นำโดย นายจรุง รักชาติ นายกสมาคม พร้อมคณะกรรมการสมาคม และนักกีฬายอดเยี่ยมและอันดับรอง เข้าเฝ้าฯ โดยผมนั้นเป็นนักกีฬายอดเยี่ยมอันดับ 1 ได้เหรียญทองมวยสากลสมัครเล่นชิงแชมป์แห่งเอเชียครั้งที่ 6 (คิงส์คัพ) รองลงมามี บัณฑิต ใจเย็น (แบดมินตัน), นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ (ฟุตบอล), ดร นามวิชิต (มวยสากลสมัครเล่น), สมเดช สายจิตบริสุทธิ์ (เทเบิลเทนนิส) แม้ว่าเวลาจะผ่านไป 43 ปี แต่ภาพแห่งความประทับใจไม่เคยลืม”
น้าเษม เล่าด้วยความปีติต่อว่า จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ 18 กันยายน 2516 มีความรู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุด และตื่นเต้นมาหลายวัน หลังจากมีข่าวทางหนังสือพิมพ์ตีข่าวตลอดว่า นักกีฬายอดเยี่ยมจะได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่วังสวนจิตรฯ เรียกว่า นอนไม่หลับอยู่หลายวัน ในใจคิดว่า ครั้งนี้เป็นบุญสูงสุดในชีวิตเลย ที่จะได้ใกล้ชิด ในหลวง พอถึงเวลาจริง ได้เข้าไปในวัง และได้เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานถ้วยรางวัลกับพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน รู้สึกปลื้มปีติ ในหลวง แย้มพระสรวล และพระองค์รับสั่งกับผมสั้นๆ ว่า “ขอให้รักษาความดีนี้ไว้ และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชนรุ่นหลัง”
นอกจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีรับสั่งกับคณะกรรมการและนักกีฬาที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทตอนหนึ่งว่า "การกีฬาของไทย ปัจจุบันก้าวหน้าขึ้น และกีฬานอกจากจะสร้างพลานามัยให้แข็งแรงแล้ว ยังสร้างจิตใจให้มีความเข้าใจกันระหว่างชาติอีกด้วย" และพร้อมกันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งกับคณะกรรมการของสมาคมอีกว่า สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาสมัครเล่นแห่งประเทศไทย นับว่ามีส่วนสร้างนักกีฬาให้ดียิ่งขึ้นและในการจัดวันนักกีฬายอดเยี่ยมนั้น เป็นแนวทางที่ดีมาก ขอให้สมาคมยืดหลักปฏิบัติต่อไป ขอสนับสนุนและให้วางหลักเกณฑ์การคัดเลือกให้รัดกุมและดียิ่งขึ้น
ศิริมงคล กล่าวอีกว่า จริงๆ แล้ว ช่วงนั้น บัณฑิต ใจเย็น นักแบดมินตันเบอร์ 1 ทีมชาติไทย กำลังมีชื่อเสียงจึงเป็นตัวเต็งที่จะได้รับการคัดเลือกเป็นที่ 1 แต่ปรากฏว่า ช่วงนั้นมีรายการมวยสากลสมัครเล่น คิงส์คัพ ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ผมเป็นตัวแทนทีมชาติรุ่นไลท์เวลเตอร์เวท ก็ชกเข้ารอบลึกๆ มาถึงรอบตัดเชือก ปรากฏว่าเอาชนะนักมวยเกาหลี เข้าไปชิงชนะเลิศกับนักชกอิหร่าน แต่หลังชัยชนะ ปรากฏว่า ตาข้างขวาปิดมองไม่เห็น ก็เลยไม่แน่ใจว่าจะขึ้นชกได้หรือเปล่า ท้ายที่สุดได้ขึ้นชก และเอาชนะ ทาร์ชิด อันกาห์มิ นักชกอิหร่าน แบบหมดทางสู้ยกที่ 1 คว้าเหรียญทองให้ชาติไทย ดีใจอย่างมาก และช่วงนั้นเป็นข่าวดังมากๆ ทำให้ช่วงโค้งสุดท้าย คะแนนจึงแซง บัณฑิต ขึ้นมาจนคว้าอันดับ 1 ได้ครองนักกีฬายอดเยี่ยมในปีนั้น
ทุกวันนี้ ศิริมงคล ลูกศิริพัฒน์ ในวัย 70 ปี สุขภาพร่างกายยังแข็งแรง มีครอบครัวที่อบอุ่น พร้อมทายาท 3 คน พักอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านพงษ์ศิริชัย 4 ซอยเพชรเกษม 81 แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม กทม.
“ผมกับครอบครัว รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น อย่างหาที่สุดมิได้ ที่ครั้งหนึ่งของชีวิตได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และที่ผ่านมา ผมกับครอบครัวได้น้อมนำพระราชดำรัสของพระองค์ท่านมาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือที่พระองค์รับสั่งกับผมว่า ให้รักษาความดี และเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เยาวชนรุ่นหลัง ซึ่งผมก็ทำตาม ด้วยการเป็นคนดี เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี สอนลูกให้เป็นคนดี โดยเฉพาะทุกวันนี้ ผมมีภาพพระองค์ติดตัวไปตลอด ยามเหนื่อย หรือทุกข์ร้อนใจ หยิบภาพขึ้นมาดู ก็หายเหนื่อยทันที และก่อนออกไปทำงาน ผมก็จะยกมือไหว้ภาพพระองค์ท่านที่บ้าน ขอพรให้ชีวิตก้าวหน้า และอยู่เย็นเป็นสุข”