
ถวายความรัก-อาลัย “ในหลวงภูมิพล” ตามถนัด
หลากหลายวิธีถวายความรัก-อาลัย ที่ปวงชนชาวไทยมีต่อพ่อหลวง
การแสดงออกซึ่ง “ความรัก” มิได้ถูกจำกัดไว้เพียงเฉพาะคำพูดผ่านลมปากไพเราะให้คนฟังหวานหูเท่านั้น แต่ยังสามารถแสดงออกมาได้อีกหลายช่องทาง เช่น การลงมือกระทำ ดังจะเห็นได้จากประชาชนคนไทยบางกลุ่มเลือกแสดงความจงรักภักดีต่อ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ด้วยการทุ่มเทแรงกายแรงใจทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด อาทิ งานอาสาสมัครต่างๆ ทั้งแจกอาหารแจกเครื่องดื่ม เก็บขยะ ช่วยเข็นรถให้คนพิการ ปฐมพยาบาล ขี่มอเตอร์ไซค์รับส่งประชาชน ทำริบบิ้นสีดำ ขณะที่บางคนถนัดแต่งเพลงร้องเพลงก็แต่งเพลงแสดงความอาลัย หรืออีกส่วนถนัดงานศิลป์ก็หยิบพู่กันขึ้นมาตวัดจนได้ภาพผลงานล้ำค่า เพื่อเป็นการแสดงความอาลัยต่อพระองค์
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนและได้รับการส่งต่อในแวดวงโซเชียลเป็นวงกว้าง เมื่อกลุ่มนักศึกษาคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง รวมถึงคณาจารย์ ปาดน้ำตาแล้วคว้าพู่กันปาดป้ายสีสันลวดลายแสดงออกถึงความรักความอาลัยและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ตามแบบฉบับชาวศิลปากร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “อัครศิลปิน” ซึ่ง ธานี บุญรอดเจริญ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 พร้อมรุ่นพี่ปี 3 นำโดย จักรพันธุ์ อุนอนันต์, ณภัทร์ จันทรพรเลิศ, วัฒนันท์ พัดลม และ ทภากร สอนศรี เล่าถึงผลงานพระบรมสาทิสลักษณ์ที่ร่วมแรงร่วมใจกันถ่ายทอดลงบนเฟรมในครั้งนี้ว่า เนื่องจากพวกเราเรียนด้านจิตรกรรม มีความประทับใจที่ทรงวาดภาพจิตรกรรมได้งดงาม และฉายพระรูปโดยมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นแบบ ซึ่งมีความสวยงามมาก ทั้งยังมีผลงานอีกจำนวนมากที่ทรงทำไว้เพื่อส่วนรวม ดังนั้นพวกเราจึงอยากทำเพื่อส่วนรวมบ้าง โดยการนำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์มาวาดเสมือนภาพจริงทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนที่เดินทางมาร่วมแสดงความอาลัยได้ร่วมชมและถ่ายภาพกับพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระองค์
ถึงต้องเหนื่อยต้องร้อนแต่ สิริบุตร วานิชพงษ์พันธุ์ อายุ 15 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ขอเลือกแสดงความจงรักภักดีและความอาลัยผ่านหยาดเหงื่อของตัวเองด้วยการมาช่วยเป็นอาสาเข็นรถรับส่งผู้พิการและผู้สูงอายุตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่ 11 โมงถึงประมาณ 4 โมงเย็น แม้ว่าอากาศจะร้อนอบอ้าวแต่ก็ไม่รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อย
“ทุกคนอยากมาสักการะพระบรมศพและลงนามแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แต่หลายคนพิการและอีกจำนวนมากเป็นผู้สูงอายุ ผมจึงอยากอาสามาช่วยเข็นรถให้ทุกท่านได้มีโอกาสอย่างที่ตั้งใจ เพราะตั้งแต่เด็กมาพ่อแม่ปลูกฝังให้รักพระองค์ท่านที่ทรงทำเพื่อคนอื่นมาตลอด จึงอยากช่วยเหลือคนอื่นตามอย่างพระองค์ท่านบ้าง” อาสาสมัครเข็นรถในเครื่องแบบลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่เผยความรู้สึก
เช่นเดียวกับ ชาญณรงค์ มานะเปรม อาสาสมัครเข็นรถรับส่งผู้พิการและผู้สูงอายุ วัย 20 ปี เจ้าหน้าที่สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ เผยว่า มาช่วยเป็นอาสาสมัครที่นี่เป็นวันที่สอง ยอมรับว่างานค่อนข้างหนักและอากาศร้อนมากๆ แต่การได้มาช่วยเหลือผู้พิการและผู้สูงอายุให้ได้เข้ามาสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นับเป็นความภูมิใจมากๆ และเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้มีโอกาสร่วมในประวัติศาสตร์ครั้งนี้
“ผมเคยถวายฎีกาให้พระองค์ท่านทรงช่วยเหลือหลานที่ป่วยเป็นอัมพาต ซึ่งพระองค์ท่านทรงรับไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์รักษาจนหาย ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ครั้งนี้จึงอยากทำความดีถวายพระองค์ท่านบ้าง” ศรายุทธเล่าด้วยความภาคภูมิใจขณะถือถุงดำเดินเก็บขยะ
“คนที่มาสนามหลวงทุกคนต้องเดินกันเยอะ เรื่องคลายความเมื่อยล้าจึงเป็นสิ่งจำเป็น พอดีกับที่ตัวเองมีวิชานวดติดตัวอยู่บ้างจึงอาสามาช่วย แม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ เมื่อเทียบกับสิ่งที่ในหลวงทรงทำเพื่อประชาชน แต่ก็ขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะได้ทำความดีถวายพระองค์ท่าน” สิริบุญเล่าพลางลงมือนวดอย่างตั้งอกตั้งใจ