ข่าว

  เสียงหัวเราะของ “พ่อ”

  เสียงหัวเราะของ “พ่อ”

19 ต.ค. 2559

เรื่องเล่าพระราชอารมณ์ขันในรัชกาลที่ 9 ที่อ่านหรือฟังกันแล้วก็ยิ้มและขำในพระราชอารมณ์ขันของพระองค์

       ตั้งแต่ประกาศสำนักพระราชวังเรื่องพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสวรรคต เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เสียงร่ำไห้ของคนไทยทั้งประเทศและคนไทยที่อยู่ทั่วโลก ด้วยความเศร้าเสียใจและอาดูร นับจากนั้นเรื่องราวต่างๆ แม้กระทั่งพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านแพร่กระจายออกมาให้เห็นอย่างต่อเนื่องๆ บางเรื่องเป็นเรื่องที่เรารู้กันอยู่แล้ว บางเรื่องเป็นเรื่องที่ไม่เคยเห็น แต่ทุกคนก็พยายามที่เก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นที่ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี 

  วันนี้จึงขอนำเรื่องราวพระราชอารมณ์ขันของพระองค์ท่านที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านหนังสือ “พระราชอารมณ์ขันผ่านพระโอษฐ์” และ พระราชอารมณ์ขันจากเว็บไซต์ชมรมคนไทยรักในหลวงมาย่อสรุปและบอกต่อพระอารมณ์ขันในพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ของปวงไทย 

  เสียงหัวเราะของ “พ่อ”

คล่องราชาศัพท์

    อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน เมื่อเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายต่างก็แปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่ว และใช้ราชาศัพท์ได้ดีอย่างน่าฉงนของราษฎรผู้นั้น เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ 

    จึงมีคำกราบทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า...”

    มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ ตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว...

    พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า “มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว”

    คณะตามเสด็จเล่าให้ฟังว่า หันไปมองพระพักตร์พระองค์ท่าน เห็นทรงอมยิ้ม ในขณะที่ทุกคนต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันอย่างเต็มที่ เรื่องนี้ ดร.สุเมธ เล่าว่า เป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะ ไม่ยกเว้นแม้แต่ในหลวง...

  เสียงหัวเราะของ “พ่อ”

คำพูดเคลิบเคลิ้ม 

        “...บางทีพูดไปพูดมา... เอ๊ะ! ..คนโน้นหลับ...คนนี้หลับ                      เราก็พูดไม่ออกอีกแหละ...เพราะว่า หมายความว่า ที่เราพูด ทำให้เขาหลับ      ..นี่ก็แปลกดี  แต่ว่า...อาจจะเป็นเกียรติก็ได้... ...หมายความว่า คำพูดเราทำให้สบายใจ ทำให้เคลิบเคลิ้ม                 ...เขาเรียกว่า ‘เคลิบเคลิ้มเลยทำให้หลับ’ มีเหมือนกัน แต่วันนี้ไม่หลับ...วันนี้คงพูดไม่ดี                     คือ ถ้าพูดดี ก็ต้องเคลิบเคลิ้ม ...แต่ว่าคำพูดทำให้คนเคลิบเคลิ้มมันก็ไม่ค่อยดี...”

                                         พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

                                           เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา

                                               เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2539 

  เสียงหัวเราะของ “พ่อ”

 

  เสียงหัวเราะของ “พ่อ”

“ยิ้มของฉัน”

    เมื่อ พ.ศ.2503 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก เป็นที่สนใจต่อสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก จึงพระราชทานสัมภาษณ์ นักข่าวหนุ่มคนหนึ่งได้กราบบังคมทูลถามว่า “ทำไมพระองค์จึงทรงเคร่งขรึมนัก… ไม่ทรงยิ้มเลย?” ทรงหันพระพักตร์ไปทางสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พลางรับส่งว่า “นั่นไง… ยิ้มของฉัน” 

   แสดงให้เห็นถึงพระราชปฏิภาณและพระราชอารมณ์ขันอันล้ำลึกของพระองค์ท่าน ทำให้เป็นที่รักของประชาชนอเมริกันโดยทั่วไป ในวันที่เสด็จฯ สภาคองเกรส เพื่อทรงมีพระราชดำรัสต่อสภา จึงทรงได้รับการปรบมืออย่างกึกก้องและยาวนานหลายครั้ง

  เสียงหัวเราะของ “พ่อ”

พวกเดียวกัน 

       ในการเสด็จฯ ออกเยี่ยมราษฎรอำเภอไกลๆ ที่กันดารนั้น บางครั้งกำนันก็อยากกราบบังคมทูลด้วยราชาศัพท์ แต่อันที่จริงนั้นไม่ต้องก็ได้ มิได้ทรงเห็นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทรงถือว่า ความจงรักภักดีและความเคารพในหัวใจนั้นสำคัญยิ่งกว่าราชาศัพท์ แต่ถึงกระนั้นกำนันบางคนก็ยังอยากจะกราบบังคมทูลให้ถูกต้องตามแบบแผน อุตส่าห์ไปซ้อมเสียหลายวัน ท่องมาจนจำขึ้นใจ 

      แต่พอเสด็จฯ มาถึงเข้าจริงๆ ท่านกำนันก็รายงานตัวออกไปว่า “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า…”

                          “เราพวกเดียวกันนะ…” รับสั่งด้วยความเมตาอย่างพ่อพูดกับลูก

                  ท่านกำนันเห็นว่า ทรงพระกรุณาเช่นนั้น ก็เปลี่ยนใจมากราบบังคมทูลด้วยภาษาธรรมดา 

  เสียงหัวเราะของ “พ่อ”

ผู้หญิงตกเป็นของใคร

       บางครั้ง ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเราก็ต้องทรงทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับปัญหาครอบครัว เช่น ชาวเขาคนหนึ่งกราบบังคมทูลร้องทุกข์ว่า เขาได้ให้หมูสองตัวกับเงินก้อนหนึ่งแก่เมีย แต่เมียพอได้เงินแล้วกลับหนีตามชู้ไป พระองค์ก็ทรงตัดสินว่า สามีจะต้องได้รับเงินชดใช้ และให้ปล่อยภรรยาไปตามใจของเธอ ญาติของทั้งสองฝ่ายก็พอใจ

รับสั่งเล่าด้วยพระราชอารมณ์ขันว่า

         “แต่ที่แย่ก็คือ ฉันต้องควักเงินให้ไป… ผู้หญิงนั้นก็เลยต้องตกเป็นของฉัน” รับสั่งแล้วก็ทรงพระสรวล

         สักครู่หนึ่ง หญิงผู้นั้นก็นำสุราพื้นเมืองมาถวาย “ถ้าฉันเมาพับไป อะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่รู้…”

  เสียงหัวเราะของ “พ่อ”

หลับในบวกปวดฝัน

     ...หลายปีผ่านมาแล้ว ตอนเช้าได้ทำฟัน คือว่า หมอฟันมาเจาะฟัน เจาะจนเกือบจะทะลุคางไป (เสียงฮา) … เพราะว่าทะลุฟันซี่นั้นถึงราก ถอนเอาประสาทออก แล้วหมอฟันทั้งหลายก็สนุกสนานไป (เสียงฮา) กินเวลาประมาณสองชั่วโมง เวลาบ่ายโมงครึ่งก็ยังไม่ได้รับประทานอาหาร ก็รับประทานไม่ไหวปากมันชาไปหมดที่เขาฉีดไว้ ประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ ก็ต้องมาแจกปริญญาที่นี่…

      นับจำนวนผู้ที่มารับปริญญาแล้วก็ดู นาฬิกา จะได้รู้เวลา นับไปนับมา แจกไปแจกมา ก็มีคนหนึ่งทำให้ตกใจ เขาเดินเข้ามาหา มารับปริญญา แล้วก็ด้วยความพอใจของเขา เขาร้องออกมาว่า “ทรงพระเจริญ” (เสียงฮา) … แต่บังเอิญตอนนั้นการแจกปริญญาก็ส่วนแจกปริญญา ส่วนปวดฟันก็ส่วนปวดฟัน (เสียงฮา) ส่วนหลับในก็ส่วนหลับใน (เสียงฮา) มีเสียงเขาบอกว่า “ทรงพระเจริญ” ต้องโสตประสาทตกใจตื่นทั้งตัว

     แต่ว่าหลังตกใจตื่นขึ้นมาอาการปวดฟันหาย ไปจริงๆ นี่พูดตามวิสัยของนักวิทยาศาสตร์หรือนักวิจัย รู้สึกว่ากระปรี้กระเปร่าที่จะแจกปริญญาต่อไป ทำด้วยความรู้ตัวด้วย แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าเรามีกำลังใจ ที่เขาบอกว่า “ทรงพระเจริญ”

  เสียงหัวเราะของ “พ่อ”

เอฟบีไอ

     อีกครั้งหนึ่ง ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้แทนของนิตยสาร Look พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้รับสั่งว่า เมื่อครั้งประธานาธิบดีของท่านมาเยือนประเทศไทย มีพวก FBI และหน่วย รปภ. ห้อมล้อมกันหนาแน่นไปหมด จนหาทางเดินไม่ได้ ถ้าฉันทำเช่นนั้นก็ไม่สามารถใกล้ชิดประชาชนได้ ถ้าผู้คนเบียดกันเข้ามาใกล้เกินไปจะมีคุณยายพูดขึ้นว่า “หลีกทางให้ในหลวงหน่อยเถอะ” คุณยายนั่นแหละคือเอฟบีไอของฉัน 

 

  เสียงหัวเราะของ “พ่อ”

ส่งเสี่ยกลับวัง

    เมื่อสมัยก่อนเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปยังหัวหิน มักจะเสด็จฯ ออกไปยังตลาดหัวหินบ่อยครั้ง และบางครั้งโดยลำพังพระองค์ มีครั้งหนึ่งระหว่างจะ เสด็จฯ กลับ ซาเล้งที่ตลาดทูลถามว่า “ไปไหมเสี่ย” ปรากฏว่า เสี่ยพระองค์นี้สนพระทัยก็ตรัสจ้างไปยัง พระราชวังไกลกังวล โดยที่ซาเล้งคนนั้นไม่รู้ นึกว่าเป็น ข้าราชการ แต่พอถึงหน้าพระราชวัง ทหารสั่ง วันทยาวุธ เท่านั้นแหละ ซาเล้งถึงรู้ว่า เสี่ยที่มาส่งน่ะเป็นใคร 

  เสียงหัวเราะของ “พ่อ”

ข้าวกล้อง ของคนจน

     เมื่อไม่กี่ปีมานี้ รัชกาลที่ 9 เสด็จฯ พร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไปทอดพระเนตรกิจการตามพระราชดำริ มีเรื่องเกี่ยวกับข้าวกล้องอยู่ด้วย ในหลวงรัชกาลที่9 ตรัสว่า “ข้าวกล้องนี้ดี เรากินข้าวกล้องทุกวัน” สมเด็จพระเทพฯ เห็นว่า น่าสนใจ แต่นักข่าวไม่สนใจเท่าไร จึงตรัสว่า “น่าสนใจนะ น่าจะเก็บไว้” 

    ก็เลยมีการกราลบังคมทูลขอให้ตรัสอีกครั้งหนึ่ง  สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็ทรงช่วยเหลือ และนำมาซึ่งคำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้ “ข้าวกล้องนี้ดี มีประโยชน์ คนอื่นเขาว่าเป็นข้าวของคนจน เรากินข้าวกล้องทุกวัน เรานี่แหละคนจน” 

  เสียงหัวเราะของ “พ่อ”

“ไม่ขึ้นเงินเดือน” 

   ด้วยความที่โปรดการถ่ายภาพ และทรงถ่ายภาพต่างๆ อยู่เป็นประจำ ภาพฉายฝีพระหัตถ์ไปปรากฏอยู่ในนิตยสาร “สแตนดาร์ด” ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร มีพระราชดำรัสด้วยพระอารมณ์ขันแก่ผู้ใกล้ชิดผู้หนึ่งถึงการเป็นช่างภาพอาชีพของพระองค์ว่า…

    “ฉันเป็นกษัตริย์ก็จริง แต่ฉันยังมีอาชีพเป็นช่างภาพของหนังสือพิมพ์สแตนดาร์ด ได้เงินเดือนละ 100 บาท ตั้งหลายปีมาแล้วจนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นเขาขึ้นเงินเดือนให้สักที เขาก็คงถวายเดือนละ 100 บาทอยู่เรื่อยมา”