
วัวควายจะไม่สูญพันธุ์ด้วย"ธนาคารโค-กระบือ"ของพ่อ
โดย - โต๊ะข่าวเกษตร
ปฐมเหตุจากความตองการของภาคเกษตรกรรมในการใช้แรงงาน โค-กระบือ ที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เนื่องจากอดีตที่ผ่านมาสัตว์เหล่านี้ถือเปนปจจัยการผลิตที่สําคัญต่อชาวนา เพราะเป็นแรงงานเดียวที่ทําหนาที่แทนเครื่องจักรกลในกระบวนการผลิตขาวเกือบทุกขั้นตอนตั้งแต่ไถ พรวน นวด ขนยายผลผลิต ฉุดลากเครื่องทุนแรงสูบน้ำอุปโภค ลากเกวียนเพื่อการขนสงในถิ่นทุรกันดาร
เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา จากปริมาณความต้องการใช้แรงงาน โค-กระบือ 6-8 ลานตัวต่อปี ทว่า ปัจจุบันความต้องการ การใช้แรงงานลดลงโดยเหลือเพียงกว่า 1 ล้านตัว เปนผลพวงโดยตรงจากความกาวหนา และการขยายตัวของเทคโนโลยี ทําใหเกษตรกรหันมาใชเครื่องจักร เครื่องมือทุนแรงแทนการใชแรงงานแบบดั้งเดิม
ด้วยวิถีการผลิตแบบใหม่ที่ให้ประสิทธิภาพ และผลผลิตสูง ที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี ใช้พลังงาน ใช้เงินทุนมาก สำหรับเกษตรกรที่มีฐานะยากจน มีพื้นที่ทำกินขนาดเล็ก จะไม่สามารถดำเนินวิถีการผลิตเช่นนี้ได้ ขณะเดียวกันก็ได้รับผลกระทบจากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพราะโค-กระบือ ซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตวิถีแบบดั้งเดิม กลายเป็นสิ่งหายากและมีราคาสูง
ดำเนินตามรอยพ่อ
จากเหตุและผลดังกล่าว จึงเป็นที่มาของโครงการธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกรตามพระราช ดําริ (ธคก.) โดยกรมปศุสัตว์ได้สนองพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เน้นบริหารจัดการที่ชุมชนมีส่วนร่วม เริ่มปี พ.ศ.2522 ซึ่งการดำเนินการได้ใช้กระบือของกรมปศุสัตว์ จำนวน 280 ตัว ไปช่วยเหลือเกษตรกรยากจนในพื้นที่ราบเชิงเขา จ.ปราจีนบุรี รายละ 1 ตัว โดยให้เช่าซื้อและผ่อนส่งใช้คืนในระยะเวลา 3 ปี จากนั้นได้มีผู้ร่วมบริจาค โค-กระบือ สมทบจำนวนมาก โครงการจึงขยายไปดำเนินงานในพื้นที่ต่างๆ ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์ได้มอบหมายให้สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเป็นผู้ควบคุมดูแล
ต่อเมื่อได้มีการปรับโครงสร้างระบบราชการตามนโยบายของรัฐบาลส่งผลให้หน่วยงานระดับอำเภอถูกยุบเลิกไป ไม่มีเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ จึงก่อให้เกิดปัญหาในการควบคุมดูแล และให้บริการแก่ประชาชน ดังนั้น ความพยายามที่จะให้ชุมชนมีส่วนร่วมรับผิดชอบควบคุมดูแลซึ่งกันและกัน จึงมีความจำเป็น เพื่อเป็นเครือข่ายประสานงานกับส่วนราชการ และเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ทั้งนี้ โครงการธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกรตามพระราชดําริ (ธคก.) จึงดำเนินไปภายใต้วัตถุประสงค์ ดังนี้
1.เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการกำกับดูแล โค-กระบือของ ธคก.ในชุมชนนั้นๆ
2.เพื่อให้โครงการมีความยั่งยืน และป้องปรามไม่ให้เกษตรกรที่ไม่มีวินัยไม่ปฏิบัติตามสัญญา
3.เพื่อสร้างเครือข่ายเกษตรกรในการประสานงาน และช่วยเหลือส่วนราชการ และ
4.เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนในการดูแลตนเอง ทั้งนี้ พื้นที่ดำเนินโครงการฯ ทุกจังหวัดทั่วประเทศ อย่างน้อยจังหวัดละ 1 ชุมชน
ดังพระบรมราโชวาทที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่สมาชิกกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศ ณ บริเวณโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา เมื่อวันพืชมงคล 14 พฤษภาคม 2523
"...ธนาคารโคและกระบือ คือการรวบรวมโคและกระบือ โดยมีบัญชี ควบคุม ดูแล รักษา แจกจ่าย ให้ยืม เพื่อใช้ประโยชน์ในการเกษตร เพิ่มปริมาณโคและกระบือ ตามหลักการของธนาคาร...
ธนาคารโคและกระบือ เป็นเรื่องใหม่ของโลกที่มีความจำเป็นเกิดขึ้น เพราะปัจจุบันมีความคิดแต่จะใช้เครื่องกลไกเป็น เครื่องทุ่นแรงในกิจการเกษตร แต่เมื่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแพงขึ้นความก้าวหน้าในการใช้เครื่องกลไกเสียไป จำเป็นต้องหันมาพึ่งแรงงานสัตว์ที่เคยใช้อยู่ก่อน เมื่อหันกลับมาก็ปรากฏว่ามีปัญหามาก เพราะชาวนาไม่มีเงินซื้อโคกระบือมาเลี้ยงเพื่อใช้งาน...
ธนาคารโคและกระบือ พอจะอนุโลมใช้ได้เหมือนกับธนาคารที่ดำเนินการเกี่ยวกับการเงิน เพราะโดยความหมายทั่วไป ธนาคารก็ดำเนินกิจการเกี่ยวกับสิ่งมีค่ามีประโยชน์ ...
การตั้งธนาคารโคและกระบือ มิใช่ว่าตั้งโรงขึ้นมาเก็บโคหรือกระบือ เพียงแต่มีศูนย์กลางขึ้นมา เช่น อาจจัดให้กรมปศุสัตว์เป็นศูนย์รวมใครจะสมทบธนาคารโคกระบือ ก็ไม่จำเป็นต้องนำโคหรือกระบือไปมอบให้อาจบริจาคในรูปของเงิน..."
ทั้งนี้ สอดรับกับการศึกษาของธนาคารโลกพบว่า ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย มีเกษตรกรร้อยละ 20 ที่ไม่มี โค-กระบือ เป็นของตนเอง ต้องเช่าโค-กระบือ เสียค่าเช่าในอัตราสูงคิดเป็นข้าวเปลือก 50-100 ถังต่อปี บางครั้งผลผลิตที่ได้ ก็ไม่เพียงพอที่จะชำระค่าเช่า ทำให้เกษตรกรเกิดภาระหนี้สิน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความยากจนและความเดือนร้อนในการดำรงชีวิต
วิธีปฏิบัติตามแนวพระราชดำริ
กรมปศุสัตว์ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบ จึงดำเนินการตามแนวพระราชดำริของพระองค์ท่าน โดยมอบหมายให้สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด ดำเนินวิธีปฏิบัติดังนี้
1.สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดคัดเลือกพื้นที่หรือชุมชนที่มีการเลี้ยงโค-กระบือ ตามโครงการธนาคารโค-กระบือ เพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริ ที่มีศักยภาพและมีความพร้อม อย่างน้อยจังหวัดละ 1 ชุมชน
2.ประชุมร่วมกับชุมชนเพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการของชุมชน ทั้งนี้ควรมีผู้นำที่ชุมชนให้ความเลื่อมใสศรัทธา เช่นพระสงฆ์ หรือครู อาจารย์ เป็นต้น เป็นที่ปรึกษา หรือเป็นกรรมการด้วย ทั้งนี้คณะกรรรมการของชุมชน อาจมีหลายระดับ เช่น หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด เป็นต้น ขึ้นอยู่กับขนาดของชุมชนและจำนวนโค-กระบือ ของ ธคก.ที่มีอยู่
3.ให้คณะกรรมการจัดทำรายชื่อเกษตรกรผู้ซึ่งได้รับการสนับสนุนโค-กระบือ ของธนาคารประกาศไว้ ณ ที่ทำการกำนัน ผู้ให้บ้าน หรือศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล
4.ให้คณะกรรมการรายงานผลการดำเนินงานของ ธคก.ให้สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดทราบทุกเดือน
5.สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดจัดเจ้าหน้าที่ให้บริการด้านสุขภาพสัตว์ผสมเทียม รวมทั้งปัจจัยการผลิตอื่นๆ เท่าที่จำเป็น
6.ในกรณีที่เป็นชุมชนที่ยังไม่เคยได้รับการสนับสนุนพันธุ์สัตว์จาก ธคก.ให้ดำเนินการสำรวจและคัดเลือกเกษตรผู้ซึ่งมีคุณสมบัติ ตามระเบียบของ ธคก.และส่งแบบแสดงความจำนงให้ ธคก.พิจารณาและสนับสนุนพันธุ์สัตว์
7.ประชาสัมพันธ์การดำเนินโครงการเพื่อเป็นตัวอย่างของชุมชนอื่นในการขยายผลการปฏิบัติต่อไป
จากนั้นสำนักปศุสัตว์จังหวัดจะติดตามประเมินผล ตรวจสอบรายงานผลดำเนินงานของ ธคก.จากคณะกรรมการของชุมชนทุกเดือน จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าติดตามในพื้นที่ตามความจำเป็น ขณะเดียวกันสำนักสุขศาสตร์สัตว์และสุขอนามัยออกติดตามผลการดำเนินงานทุก 3 เดือน เช่นเดียวกับกรมปศุสัตว์ โดย ธคก.จะต้องติดตาม นิเทศงาน ประเมินผลการดำเนินโครงการและร่วมแก้ไขปัญหาทุก 6 เดือน
โดยผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ โค-กระบือของ ธคก.ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ทำให้โครงการมีความยั่งยืน เกษตรกรไม่นำสัตว์ ของ ธคก.ไปจำหน่าย ขณะที่เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นและมีโค-กระบือไว้ใช้แรงงาน อีกทั้ง จำนวนโค-กระบือในชุมชนเพิ่มจำนวนมากขึ้น ช่วยในการรักษาสมดุลของธรรมชาติ และเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น เป็นการสร้างเครือข่ายเกษตรกรในการประสานงานและช่วยเหลือส่วนราชการ ที่สำคัญทำให้ชุมชนมีความเข้มแข็งมากขึ้น
รูปแบบให้บริการแก่เกษตรกร
ปัจจุบัน ธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกรตามพระราชดําริ มีรูปแบบการให้บริการแก่เกษตรกรใน 4 ลักษณะดังต่อไปนี้
1.ให้เช่าซื้อผ่อนส่งระยะเวลายาว เกษตรกรที่ยากจนที่ใคร่จะได้มีโอกาสเป็นเจ้าของโค-กระบือของตนเอง ทางธนาคารฯ จะจัดหาโค-กระบือ มาจำหน่ายให้ในราคาถูก โดยเกษตรกรจะต้องผ่อนส่งใช่เงินคืนให้แก่ธนาคารฯ โดยการผ่อนส่งในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งผู้ซื้อจะต้องให้ผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันหรือผู้อื่นที่เชื่อถือได้ เป็นผู้ค้ำประกันการผ่อนชำระดังกล่าว
2.ให้เช่าเพื่อใช้งาน เกษตรกรที่ไม่มีโค-กระบือ ใช้งานของตนเอง อาจติดต่อขอเช่าโค-กระบือ จากธนาคารฯ ไปใช้งานได้โดยทางธนาคารฯ จะพิจารณาให้เช่าในราคาถูก แต่ผู้เช่าจะต้องมีผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน หรือผู้อื่นที่เชื่อถือได้เป็นผู้ค้ำประกันไว้กับธนาคารโค-กระบือ นี้
3.ให้ยืมเพื่อทำการผลิตพันธุ์ เกษตรกรที่ยากจน หากต้องการจะยืมโค-กระบือ เพศเมีย จากธนาคารฯ ไปใช้เลี้ยงเพื่อผลิตลูกโค-กระบือ ก็อาจติดต่อขอยืมโค-กระบือจากธนาคารฯ ได้โดยผู้ยืมจะต้องแบ่งลูกโค-กระบือ ที่คลอดออกมาคนละครึ่งกับธนาคารฯ โดยลูกตัวที่ 1 3 5 ฯลฯ จะเป็นของธนาคารฯ ส่วนลูกตัวที่ 2 4 6 ฯลฯ จะเป็นของเกษตรกร ทั้งนี้ ผู้ยืมจะต้องให้ผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน หรือผู้ที่เชื่อถือได้ค้ำประกันไว้กับธนาคาร
4.การยืมใช้งาน เกษตรกรหรือทหารผ่านศึกที่ยากจน ไม่สามารถจะช่วยตนเองได้จริงๆ อาจติดต่อขอรับความช่วยเหลือขอยืมโค-กระบือ ไปใช้งานได้ โดยธนาคารฯ จะได้จัดเจ้าหน้าที่ไปพิจารณา ให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษเป็นรายๆไป
ทั้งนี้ การจัดตั้งธนาคารโค-กระบือ แต่ละแห่งจะเริ่มต้นด้วยสมาชิกอย่างต่ำสุด 10 ราย ซึ่งเป็นเกษตรกรยากจน อยู่ในพื้นที่ที่มีความเดือดร้อนในการหาโค-กระบือเพื่อมาใช้งาน คณะกรรมการหมู่บ้านจะเป็นผู้คัดเลือกผู้ที่มีฐานะยากจน มีความประพฤติดี ขยันหมั่นเพียรและไม่มีโค-กระบือของตนเอง จัดเรียงลำดับไว้
โดยธนาคารฯ จะจัดสรรโค-กระบือให้แก่ราษฎรในหมู่บ้านที่ได้รับการคัดเลือกไว้แล้วตามจำนวนโค-กระบือ ที่ธนาคารฯมีอยู่ ซึ่งได้รับบริจาคจากประชาชนทั่วไป หรือจากงบประมาณของรัฐ ผู้ที่ยังไม่ได้รับโค-กระบือจากธนาคารฯในครั้งแรก ก็จะมีโอกาสได้รับในคราวต่อไป เมื่อธนาคารฯ มีโค-กระบือเพิ่มขึ้น
อีกทั้ง ธนาคารโค-กระบือในหมู่บ้านที่มีการบริหารและการจัดการโครงการที่ดี ก็จะเกิดผลประโยชน์เพิ่มพูนขึ้น ลูกโค-กระบือที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นของธนาคารโค-กระบือ ได้นำไปหมุนเวียนให้บริการแก่เกษตรกรรายอื่นๆต่อไป การดำเนินงานในลักษณะนี้ ทำให้โครงการเกิดผลประโยชน์ต่อเนื่องไม่สิ้นสุด เกษตรกรได้รับบริการอย่างทั่วถึง โดยที่รัฐไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
ธนาคารโค-กระบือตัวอย่าง
โครงการธนาคารโค-กระบือหมู่บ้านกระบืองาม ในพื้นที่สำนักสุขศาสตร์สัตว์และสุขอนามัยที่ 4 หมู่ 1 ต.ดอนช้าง อ.เมือง จ.ขอนแก่น และโครงการธนาคารโค-กระบือนาโยง อ.นาโยง จ.ตรัง ทั้ง 2 โครงการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากเกษตรกร ภายใต้เป้าหมายเดียวกันคือประชาชนมีส่วนร่วมอนุรักษ์พันธุกรรมกระบือที่มีลักษณะดีให้คงอยู่ในฝูงกระบือของเกษตรกร และกระจายพันธุ์กระบือที่มีลักษณะดีในกลุ่มอนุรักษ์และพัฒนากระบือ
อย่างไรก็ตาม ธนาคารฯตัวอย่างทั้ง 2 นี้ ต่างยอมรับว่าประโยชน์ที่เกิดขึ้นนอกจากช่วยให้เกษตรกรที่ยากจนมีปัจจัยการผลิตของตนเองแล้ว การใช้แรงงานแบบดั้งเดิมนี้เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับระบบเกษตรกรรมเบบยังชีพ ที่ไม่ต้องการความรู้ทางเทคนิค วิชาการขั้นสูงใดๆในการบำรุงรักษาแม้แต่น้อย