
"ป่าสักชลสิทธิ์"พระอัจฉริยะแห่งสายน้ำ
โดย - โต๊ะข่าวเกษตร
ย้อนไปเมื่อ 12 ปีก่อน สายน้ำอันคตโค้งลัดเลาะเป็นยาวถึง 513 กิโลเมตรจากป่าต้นน้ำบนขุนเขาในเขตพื้นที่ จ.เลย จ.เลย ของแม่ป่าสักไหลสู่เข้าพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ ผ่านลพบุรี สระบุรี และมาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่ จ.พระนครศรีอยุธยานั้น หากมองอีกมุมหนึ่งก็คือเปรียบเสมือดังสายเลือดที่หล่อเลี้ยงผู้คนถึง 3 ภาค
เริ่มจากภาคอีสานตอนบนผ่านภาคเหนือตอนล่างสู่ภาคกลางในพื้นที่ชลประทานแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา แต่เป็นสายเลือดที่หล่อเลี้ยงในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น วันดีคืนดีในวันคืนที่มีฝนตกในฤดูฝน แม่น้ำสายนี้กลายสายน้ำที่โหดร้าย ลั้นตลิ่งพัดพาสรรพสิ่งมีค่า ทำลายสิ่งปลูกสร้าง และพืชผลทางการเกษตร รวมถึงชีวิตชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตลอดแนวของสองฝากฝั่งแม่น้ำสายนี้ปีแล้วปีเล่า ยามถึงหน้าแล้งน้ำลดจนแห้งขอด ไม่มีน้ำที่จะใช้เพื่อการเกษตร
นี่ไม่ใช่เรื่องบอกเล่า หากมีผู้ที่ยืนยันอย่างนายนิคม วงศ์บุญเอื้อ หมู่ 2 ต.พัฒนานิคม อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี บอกว่า เมื่อก่อนชาวบ้านที่อาศัยบริเวณแม่น้ำป่าใช้ชีวิตอย่างลำบาก เพราะพอถึงหน้าฝนน้ำก็ท่วม พอถึงหน้าแล้งไม่มีน้ำใช้ในการทำนา ต้องรอน้ำฝนเท่านั้น บางปีโชคร้ายแล้งมากและซ้ำซาก ฝนไม่ตกไปตามฤดูกาล ทำนาไม่ได้ ไม่มีข้าวให้ลูกให้เมียกิน ทำนาขาดทุนซ้ำแล้วซ้ำอีก ต้องแบกภาระหนี้มาตลอด บางปีฝนตกมากน้ำก็ท่วมข้าวในนาเสียหายหมดทั้งหมู่บ้าน
หนักไปกว่านั้นน้ำยังท่วมที่อยู่อาศัย ข้าวของก็เสียหายหมด ต้องทิ้งลูกทิ้งเมียไปทำงานในกรุงเทพฯ หาเงินมาใช้หนี้ แต่พอมีเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์สร้างเสร็จขึ้นมา ตอนนี้ทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง ชีวิตก็ดีขึ้น ความเป็นอยู่ดีกว่าก่อนหลายเท่าตัว มีรายได้พอเลี้ยงครอบครัว มีความสุขกันทุกคน
ความเดือดร้อนของพสกนิกรครั้งเก่าก่อน ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกล พระองค์จึงทรงมีความตั้งใจที่ช่วยเหลือราษฎรที่อยู่ในแถบลุ่มน้ำป่าสักที่ต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วม และความแห้งแล้ง จึงทรงมีพระราชดำริเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 ให้กรมชลประทานดำเนินการศึกษาความเหมาะสมของโครงการเขื่อนกักเก็บน้ำแม่น้ำป่าสักอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
เขื่อนป่าสักจึงเริ่มก่อสร้างเมื่อที่ 2 ธันวาคม 2537 ทำพิธีปฐมฤกษ์กักเก็บน้ำเขื่อนในวันที่ 15 มิถุนายน 2541 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีเสด็จมาเป็นองค์ประธาน และในวันที่ 7 ตุลาคม 2541 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามเขื่อนแห่งนี้ว่า "เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์" อันหมายถึง "เขื่อนแม่น้ำป่าสักที่เก็บกักน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ "
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีพื้นสำหรับเป็นอ่างเก็บน้ำ 114,119 ไร่ ในเขต 2 จังหวัด คือ จ.ลพบุรี กินเนื้อที่ 104,728 ไร่ ในพื้นที่ 3 อำเภอ 13 ตำบล 60 หมู่บ้าน และะ จ.สระบุรีมี 9,391 ไร่ ในพื้นที่ 1 อำเภอ 2 ตำบล 5 หมู่บ้าน มีระดับเก็บกักน้ำสูงสุด +43 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง กักเก็บน้ำสูงสุด 960 ล้านลูกบาศก์เมตร และสามารถกระจายน้ำสู่พื้นที่การเกษตรในพื้นที่ชลประทาน 135,500 ไร่
จากผลการศึกษาพบว่า ประโยชน์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากมีเขื่อนป่าสัก ชลสิทธิ์มีมากกว่าต้นทุนของทรัพยากรที่ใช้ไปในโครงการ ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเขื่อนมีศักยภาพเก็บกักน้ำได้สูงสุด 960 ล้านลูกบาศก์เมตร มีการใช้น้ำทั้งในด้านการอุปโภคบริโภค การเกษตร อุตสาหกรรมและรักษาระบบนิเวศในพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสักตอนล่าง และลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างฝั่งตะวันออก เฉลี่ยปีละ 699 ล้านลูกบาศก์เมตร อย่างไรก็ตามความต้องการน้ำโดยรวมจากเขื่อนนั้นมีปีละ 1,059 ล้านลูกบาศก์เมตร
นอกจากนี้เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ยังช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัย ในพื้นที่ตอนล่างของลุ่มน้ำป่าสักเขตจังหวัดลพบุรีและสระบุรี แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร ช่วยฟื้นฟูด้านสิ่งแวดล้อมและรักษาคุณภาพน้ำจากการไล่น้ำเสียและน้ำเค็ม ตั้งแต่บริเวณท้ายเขื่อนลงมาถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และยังก่อให้เกิดการส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตร ประมงและการท่องเที่ยว ทำให้มีผลประโยชน์สุทธิเท่ากับ 49,788 ล้านบาท สัดส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุนเท่ากับ 1.39 และอัตราผลตอบแทนภายในโครงการเท่ากับร้อยละ 16.75
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์นับเป็นอีกโครงการที่เกิดจากพระวิริยะอันสูงส่ง และพระอัจฉริยภาพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพสกนิกรสนสามารถใช้ประโยชน์ทางอาชีพให้กับเกษตรกรอย่างแท้จริง