นอร์มา จีน เบาเออร์ชมิดท์ เผชิญสัปดาห์เคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่สุดในวัย 90 เมื่อปีที่แล้ว เมื่อสามี ลีโอ ที่อยู่กินกันมานาน 69 ปี จากไปยังไม่พอ สองวันจากนั้น ต้องมาฟังผลวิเคราะห์ชิ้นเนื้อจากคุณหมอว่าเธอเป็นมะเร็งมดลูก ระยะที่ 4
คุณหมออธิบายว่า คนไข้อาจต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ ตามด้วยการฉายรังสี และเคมีบำบัด เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่แทนที่จะเข้ากระบวนการเหล่านั้น หรือเลือกใช้วันเวลาที่เหลือในสถานดูแลคนป่วยชราสักแห่ง เธอหยุดคิดหนึ่งนาที ก่อนมองตาหมอแล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า ฉันอายุ 90 ปีแล้ว ช่างมันเถอะ ฉันจะออกเดินทาง
คุณยายคุยกับทิม ลูกชายที่เกษียณแล้ว กับลูกสะใภ้ รามี ลิดเดิล สมาชิกในครอบครัวที่เหลืออยู่ ถึงการตัดสินใจครั้งใหญ่ในวัยใกล้ฝั่ง
สองสามีภรรยา ไม่ขัดใจคนไข้ที่จะไม่รักษา แต่ไม่อาจทำใจปล่อยให้ผู้สูงวัยมีชีวิตอยู่ในสถานดูแลผู้ป่วยชรานอนรอความตายและโดยลำพังหลังจากคู่ชีวิตไม่อยู่แล้ว พวกเขาจึงยื่นแผนบี ด้วยการเดินทางไปด้วยกันทั้งหมด ซึ่งจากข้อมูลเฟซบุ๊ค ทั้งสองระบุว่า เป็นแรงบันดาลใจที่ได้จากหนังสือ Being Mortal: Medicine and What Matters in the End โดย Atul Gawande
ทั้งสองซื้อรถบ้านขนาด 36 ฟุตหนึ่งคัน และรถเอสยูวี ไว้ลากรถอีกคัน
เมื่อบอกหมอว่า หากพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในรถบ้าน พาแม่ไปยังทุกๆที่ที่ไม่เคยไปและอยากจะไป จะเป็นการกระทำที่ผิดกับคนป่วยหรือไม่
คุณหมอไม่ได้คัดค้าน และไม่มีความคิดจะทำ เพราะสำหรับคนเป็นหมอ มองการบำบัดมะเร็งเหมือนกับการอยู่ในห้องไอซียูทุกวัน เห็นผลข้างเคียงน่าหดหู่ พูดตรงๆ คือไม่มีหลักประกันว่า คุณยายเบาเออร์ชมิดท์จะรอดชีวิตจากการผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก คนไข้เลือกทำในสิ่งที่หมอเองก็อยากจะทำหากตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แถมอวยพรไปเที่ยวให้สนุกเถอะ!
หลังล่ำลาเพื่อนที่บ้านพักคนชรา ก็ได้เวลาที่หญิงชราวัย 90 ลูกชาย ทิม รามี และริงโก น้องหมาพุดเดิลอีกหนึ่งตัว ออกเดินทางจากบ้านในเมืองเพรสเก ไอเอิล รัฐมิชิแกน เริ่มต้นผจญภัยครั้งสุดท้ายและยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2558
รามี เปิดเฟซบุ๊กตั้งชื่อว่า Driving Miss Norma คล้ายชื่อหนังดังเมื่อหลายปีก่อนเรื่อง Driving Miss Daisy โดยตั้งใจใช้เป็นช่องทางให้เพื่อนฝูงและญาติพี่น้องได้ติดตามข่าวคราวและเข้ามาให้กำลังใจ
แต่เมื่อเรื่องราวและรูปถ่ายการเดินทางของสามคนกับสี่ขา ถูกนำมาถ่ายทอดลงเฟซบุ๊กเป็นระยะ ก็ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะเพลิดเพลินไปกับการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆทั่วสหรัฐอเมริกาของครอบครัวนี้อย่างเดียว แต่การเลือกที่จะเดินทางอย่างสดใส แทนนอนรอชะตากรรมของคุณยาย ยังเปิดประเด็นขบคิดเรื่องปลายทางชีวิตของแต่ละคน
ปัจจุบัน มียอดกดไลค์เกือบ 5 แสน
มิส นอร์มา กลายเป็นบุคคลสาธารณะของชาวเฟซบุ๊ก มีสื่อหลักไปติดตามทำข่าวหลายเจ้า อาทิ พิตต์สเบิร์ก โพสต์ กาเซตตา ฮัฟฟิงตัน โพสต์ รายการ ทูเดย์ ทางเอ็นบีซี อีฟนิงนิวส์ ทางซีบีเอส และบีบีซีเรดิโอ
เมื่อครบรอบ 1 ปีของตะลอนทัวร์ รถบ้านพามิสนอร์มาของชาวสังคมออนไลน์ เดินทางเป็นระยะทางเกือบ 20,900 กิโลเมตร แวะพักตามสถานที่ต่างๆ 75 แห่ง ใน 32 รัฐ เธอและคณะไปเยือนอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมาท์ รัชมอร์ ชมงานแกะสลักหน้าผาภูเขาใบหน้าประธานาธิบดีขนาดมหึมา ไป ร็อกกี เมาน์เทน ร่วมบรรยากาศ เทศกาลเฉลิมฉลองต่างๆ ได้ขึ้นบอลลูนชมทัศนียภาพรัฐฟลอริดาซึ่งเป็นความฝันของเธอกับสามีผู้ล่วงลับ ได้ทำเล็บเท้าเป็นครั้งแรก เห็นวาฬเพชฌฆาตครั้งแรก กินอะไรแปลกๆ ที่ไม่เคยลิ้มลอง ได้ขี่ม้าครั้งแรก ตลอดจนไปดูเกมบาสเกตบอลเอ็นบีเอในฐานะผู้ชมวีไอพี
รามี ลูกสะใภ้ โพสต์ว่า ในช่วง 12 เดือน พวกเราได้เรียนรู้อะไรมากมายถึงการมีชีวิต การดูแลกัน ความรัก การโอบกอดช่วงเวลาปัจจุบัน จิตวิญญาณของมนุษย์ และความงามของผู้คนจากทั่วโลก
เมื่อถามว่าชอบที่ไหนมากที่สุดตั้งแต่เดินทางมา มารดาของสามี กล่าวว่า ตรงนี้แหล่ะ ...เพราะไม่สำคัญว่าเป็นที่ไหน
การเดินทางในช่วงแรก ทั้งสองยอมรับว่าแอบกังวลถึงสุขภาพของเธอ แต่ไปๆ มาๆ กลับพบว่า การผจญภัยกลับช่วยให้แม่แข็งแรงและกำลังใจดี ดูจากรูปถ่ายบนเฟซบุ๊กก็สามารถสัมผัสได้
คนป่วยยิ่งปลื้มเมื่อรู้ว่า การตัดสินใจใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายของตัวเอง มีความหมายและเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวออนไลน์ที่ติดตามการเดินทางอยู่ พร้อมแนะว่า ทัศนคติเชิงบวกกับการย้อนความทรงจำและเล่าถึงวันดีๆในอดีต อาจช่วยทำให้เรามีความสุขขึ้นได้
ขณะที่ผู้เป็นแม่ เป็นที่รู้จักของสาธารณชนมากขึ้นเรื่อยๆทางเฟซบุ๊ก ลูกชายอย่างทิม กล่าวว่าเขาก็รู้จักแม่มากขึ้นเช่นกันระหว่างการเดินทาง เราได้พูดคุยในเรื่องที่ไม่เคยคาดคิด แถมเพิ่งรู้ว่า พ่อกับแม่พบกันครั้งแรกในบาร์แห่งหนึ่ง
ขณะที่สุขภาพเริ่มทรุดปลายเดือนสิงหาคม หน้าเพจเฟซบุ๊กยังอัพเดทข่าวคราวให้แฟนเพจได้รับทราบเหมือนญาติใกล้ชิด และเริ่มทำใจว่า การผจญภัยครั้งใหญ่กับมิส นอร์มา อาจใกล้มาถึงวาระสุดท้ายแล้ว
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา และวันนั้นคือคืนวันศุกร์ที่ 30 กันยายน ทิมและรามี ได้โพสต์ข้อความจากบทกวีศตวรรษที่ 13 ของรูมีว่า ชีวิตคือความสมดุลระหว่างการยื้ดยุดฉุดไว้กับปล่อยให้เป็นไป ในวันนี้ เราปล่อยให้เป็นไป
โพสต์นี้มีผู้เข้าไปแสดงความอาลัยกว่า 3 หมื่น เต็มไปด้วยข้อความขอบคุณ และความรักที่มีให้แก่กัน
การเดินทางหญิงชราผู้เป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลก สิ้นสุดลงด้วยวิถีที่เธอเลือกเอง บนเตียงนอนภายในรถบ้านที่พาเธอและลูกชายตะลอนเที่ยวกันมานานกว่าหนึ่งปี โดยศพของเธอจะได้รับการฝังเคียงข้างสามี ที่มิชิแกนในสุดสัปดาห์นี้
คนที่ติดตามเพจการผจญภัยในบั้นปลายของหญิงชรามาโดยตลอด อดเศร้าและใจหายไม่ได้ ขณะที่ ทิม ลูกชายให้สัมภาษณ์ พิตต์สเบิร์ก โพสต์ กาเซตตา ทั้งน้ำตาว่า ขอขอบคุณอย่างที่สุดต่ออะไรก็ตามที่ทำให้ลูกชายได้มีโอกาสใช้ช่วงเวลาสุดท้ายอยู่ข้างมารดา ได้รู้ว่าแม่เป็นคนพิเศษขนาดไหน
สำหรับลูกสะใภ้ อย่างรามี กล่าวว่า เมื่อวันนี้มาถึง เธอกลับพบว่า มันไม่ใช่เรื่องเศร้า ไม่มีอะไรต้องเศร้าเลย เธอเรียกว่าเป็นการลงจอดอย่างนุ่มนวลและงดงามที่สุด เราได้ใช้ทุกช่วงเวลากับเธอและอยู่กับเธอจนถึงนาทีสุดท้าย
รามี กล่าวด้วยว่า ประสบการณ์จากมารดาสามี เปลี่ยนวิธีการเตรียมตัวในช่วงบั้นปลายชีวิตของเธอ เราเคยเป็นครอบครัวที่เคยหวาดกลัวกับการพูดคุยกันว่า อยากจะทำอะไรก่อนตาย ถ้าเกิดใครคนใดคนหนึ่งตายไป อีกคนจะอยู่อย่างไร เราเมินหนีทุกครั้งหากต้องคุยกันเรื่องแบบนี้ หากจะมีสิ่งหนึ่งที่พวกเธอหวังคนอื่นๆ จะได้รับจากเรื่องราวของพวกเธอ คงเป็นการพูดคุยกัน เธอคิดว่าเรื่องราวของพวกเธอบนเฟซบุ๊ค คือเปิดพื้นที่ให้คนได้พูดและคิดนอกกรอบ เธอมีแผนจะเปิดเพจเฟซบุ๊คนี้ไว้ต่อไป ไม่แน่ว่าอาจมีโครงการ Driving Miss Norma ภาคอื่นๆ ตามมาก็เป็นได้
อุไรวรรณ นอร์มา แปลและเรียบเรียง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง