
วีดีโอเพลง“เที่ยวไทยมีเฮ”เหมาะสมหรือไม่
มิวสิควีดีโอเพลง“เที่ยวไทยมีเฮ”และถูกวิพากวิจารย์ถึงความเหมาะสมหลังเผยแพร่เมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา
ความคืบหน้ากรณีที่บริษัทเอกชนแห่งให้“อ๊อด บัณฑิต ทองดี” จัดทำมิวสิควีดีโอเพลง“เที่ยวไทยมีเฮ” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยวีดีโอเพลงดังกล่าวมี“เก่ง ธชย” และ “ฟิล์ม บงกช” ขับร้องและร่วมแสดงนำ โดยใน MV และมีการแต่งชุดโขน แสดงเป็นตัวละครจากวรรณคดี เรื่อง รามเกียรติ์ ทั้ง ทศกัณฑ์ นางสีดา และเหล่ายักษ์ พร้อมตระเวนเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ของประเทศไทย
มิวสิควีดีโอเพลง“เที่ยวไทยมีเฮ” ได้เริ่มเผยแพร่ให้ได้ชมกันเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา หลังมีการเผยแพร่ก็วิพากวิจารย์ในโลกโชเชียลถึงความเหมาะสมของ MV ดังกล่าว ทั้งที่ถูกมองว่าเป็นการทำลายวัฒนธรรมชาติ และมองว่าเป็นเรื่องศิลป์ที่สามารถจะแสดงออกได้
อย่างคุณ Pichet Klunchun แสดงความเห็นว่า การเติบโตทางวัฒนธรรม ด้านความคิด การกระทำ จิตใจ ของคนที่ข้องเกี่ยวกับงานศิลปจะเป็นส่วนสำคัญในการทำพาให้ศิลปแบบดังเดิม ยังคงดำรงอยู่ได้อย่างสง่างาม การปิดกันวัฒนธรรม ทางความคิด การกระทำและจิตใจ ก็รังแต่จะส่งผลให้ศิลปแบบดังเดิม เสื่อมถอยลดน้อยลงไปจากสังคม การปิดกันไม่ให้ผู้อื่นแสดงออกแม้แต่ความคิดนั้น มันสะท้อน ให้เห็นถึง อาการด้อยภูมิทางความรู้ ของคนผู้นั้นและสิ่งนั้นไปพร้อมๆกัน ศิลปแบบประเพณีไม่ต้องการการปกป้องจากวาจาที่ทำรายกันของคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ไม่ต้องการการปกป้องด้วยกฏข้อบังคับทางสังคม วิธีเดียวที่จะปกป้องงานศิลปแบบดั้งเดิมได้นั้นคือทำให้งานศิลปแบบดั้งเดิมปกป้องตัวมันเองให้ได้ โดยปราศจากการปรุงแต่งด้วยสิ่งอันไร้สาระทั้งปวง แสดง นำเสนอ หาวิธีให้คนทั่วไปรับรู้ให้ได้ว่ามันมากกว่า
คำว่า วัฒนธรรมประจำชาติ นี้เป็นการทับซ้อนกันทางสภาวะของความคิดความรู้สึกที่มีต่อความเชื่อและความจริง ที่เรารับรู้ซึมซาบเข้าไว้ในตัวเราผ่านวัฒนธรรมและความเชื่อ มีความจริงที่ไม่จริงแฝงอยู่ มีความไม่รู้แก่กูรัก อะไรคือความไม่เหมาะสมมากกว่ากันระหว่างที่ทศกัณฐ์ทำกิจกรรมไม่เหมาะสมกับผู้แสดงกินเหล้าก่อนแสดง ผู้แสดงไม่ฝึกซ้อม ผู้แสดงมีความไม่พร้อมทางร่างกายที่อ้วนลงพุง การแสดงที่ควรจะอยู่ในโรงละคร กับไปอยู่ในร้านอาหาร ข้างถนน บนโรงแรม หรือล่องเรือชมแม่น้ำเจ้าพระยา มีเรื่องอีกมากมายที่เกิดขึ้นกับนาฏศิลป์ไทยที่ไม่เหมาะสม แต่ไม่ถูกพูดถึง เพราะมันอยู่ที่ใครทำ พวกใครและใครได้อะไร ก็เรื่องเดิม แยกไม่ออกระหว่างวัฒนธรรม ความเชื่อ ความจริงและเวลาปัจจุบัน
คุณใบเฟิร์น ภาวินี ให้ความเห็นว่า ไม่ได้มีอคติกับการเอาทศกัณฑ์ มาทำ MV นะ แต่ดูแล้วมันน่าเบื่ออะ ไม่ดึงดูดให้น่าไปเที่ยวสถานที่ต่างๆที่แนะนำมาเลย ทำออกมาแล้วดูธรรมดามากๆ(ในความคิดเรา) เราว่าดูรีวิวท่องเดียวยังว๊าวกว่าเลย มันเหมือนเอาเด็กมาเดินเล่นแล้วร้องเพลงสนุกๆอะ ขอโทษที่พูดแรงไปค่ะ แต่รู่สึกแบบนั้นจริงๆ
คุณนนท์ จิราระรื่นศักดิ์ แสดงความเห็นว่า พอจะเข้าใจแล้วล่ะ เท่าที่ดูประเด็นคงไม่ใช่ที่ตัวทศกัณฐ์ แต่ประเด็นน่าจะอยู่ที่เพราะเป็นโขนมากกว่า เพราะเรื่องเคารพบูชาครูทางนาฏศิลป์นี้ โดยเฉพาะโขนนี้ ต้องยอมรับว่าเขาแรง ถ้าใครไปลบหลู่ อันนี้ผมไม่ได้ว่าใครถูกผิดนะ เพราะผมเองก็ไม่ได้รู้ทางนาฏศิลป์อะไร แต่ เก่งเอง เขาก็เรียนดนตรีมาก็คงพอจะรู้อยู่แล้วล่ะว่าอะไรทำได้่ทำไม่ได้
( Mv จาก เฟซบุ๊ก เก่ง ธชย ประทุมวรรณ-Tachaya)
ทางด้าน บัณฑิต ทองดี หรือ “อ๊อด” ผู้กำกับละครและภาพยนตร์ชื่อดังที่กำกับมิวสิควิดีโอเพลง “เที่ยวไทยมีเฮ” กล่าวว่าตอนนี้ได้มีการหารือกับทาง น.ส.ลัดดา ตั้งสุภาชัย อดีตผอ.ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม โดยมีการตกลงว่า ให้ดำเนินการตัดต่อแก้ไขเอ็มวีใหม่ และผลงานให้ดูในวันที่ 27 ก.ย.นี้ แต่หากเอ็มวีที่แก้ไขแล้ว ดูแล้วยังไม่แฮปปี้จะถูกแบน
“เราทำเอ็มวีตัวนี้ โดยบริษัทหนึ่งจ้างทำ เพื่อต้องการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย ชื่อบริษัท วี แบงคอก แต่เขาไม่บอกที่มาว่าใครจ้าง หรือองค์กรไหนจ้างมา เพราะตอนประชุมกัน ไม่มีองค์กรไหนเข้ามา ตอนแรกเราคิดว่าเป็นของททท. (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) แต่เขาก็บอกว่าไม่ใช่ เพราะตอนประชุมกันก็ไม่มีทางททท. มา ตอนโลโก้ท้ายเขาก็ไม่ส่งโลโก้มา คิดว่าไม่น่าใช่ แต่คนให้ทำเอ็มวี บอกว่าเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย โดยใช้ยักษ์รามเกียรติ์ คือทศกัณฐ์มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งกระบวนการคิดได้ผ่านจากองค์กรนี้เรียบร้อยแล้ว ในส่วนของผมมันคือจากปลายน้ำแล้ว เขาบอกว่าไม่ใช่ของ ททท. เขาบอกว่าเป็นบริษัทเอกชน ไม่ได้พูดว่าต้นต่อของเจ้าของเงินเป็นใคร เขาบอกเพียงว่ามีองค์กรหนึ่งต้องการกระตุ้นการท่องเที่ยว เขาเหมือนเป็นเอเจนซี่ ผมก็ทำโปรดักชั่นให้เขา คือพอเขาไม่อยากออกตัว เราเลยไม่ได้ถามอะไรมาก แต่เราเห็นว่ามันเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวเราเลยรับทำ”ผู้กำกับคนดังกล่าว
เมื่อถามต่อว่าหลังจากเอ็มวีปล่อยออกมาไม่นาน กลับเจอกระแสจะถูกแบน อ๊อดเผยถึงเรื่องนี้ว่า “หลังจากที่เอ็มวีออนแอร์ไปหนึ่งอาทิตย์ คงไปถึงสายตาของผู้เกี่ยวข้องทางวัฒนธรรม ซึ่งท่านนี้ก็คือเป็นอดีตผอ.ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ในมุมท่านคงปล่อยไปไม่ได้ คงไม่ค่อยแฮปปี้กับวัฒนธรรม ก็เลยเรียกทีมงานที่ผลิตกับพวกผม และบริษัทที่ผลิตไปหารือที่ศูนย์วัฒนธรรมพูดคุยกัน ท่านบอกว่าท่านกำลังล่ารายชื่อ 10,000 รายชื่อเพื่อทำการฟ้องพวกเราในฐานะที่ทำลายวัฒนธรรมแห่งชาติ แต่เราก็ตกใจว่าอ้าว...ทำลายตรงไหน ท่านก็เล่าให้ฟังว่าทำให้ยักษ์เสียศักดิ์ศรี ยักษ์ลงกา ต้องมาเดินถนน เอายักษ์มาเล่นเจ็ทสกี เล่นโกคาร์ท ขี่ม้า ซึ่งเป็นพาหนะของคนอื่น คือพระราม ของยักษ์ต้องเป็นช้าง เราก็ตกใจเป็นแบบนั้นเชียวเหรอ ท่านบอกว่าถ้าวันนี้หารือลงตัวก็จะไม่ฟ้อง ท่านบอกว่ามีกฏหมายรองรับด้วยว่าทำลายวัฒนธรรมแห่งชาติด้วย ซึ่งท่านบอกแบบนี้ เราเองไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่มี หรือร้ายแรงแค่ไหน ซึ่งเราเชื่อท่าน สุดท้ายเราก็ถอยยอมตัดต่อแก้ไข โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าตัดต่อแล้วท่านพอใจก็ได้ออนแอร์ต่อ แต่ถ้าท่านไม่พอใจเราแก้ได้แค่นี้ เนื่องจากเรามีฟุตเทจอยู่แค่นี้ เราถ่ายมาได้แค่นี้ ท่านก็บอกว่าถ้าท่านไม่พอใจก็จะขอแบน เราก็ยอมรับถ้าแบนก็ต้องแบน เรื่องฟ้องคงไม่ฟ้อง เพราะเรามีหารือกันแล้ว”
อ๊อดเผยต่อว่า ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการตัดต่อแก้ไข ถ้าออกมาแล้วไม่พอใจขั้นร้ายแรงคือถูกแบน ดังนั้นขั้นตอนในการตัดต่อแก้ไขมีผลกระทบแน่นอน เพราะในเรื่องข้อมูลที่ต้องการสื่อสารท่องเที่ยวจะหายไปประมาณหนึ่ง แต่คงใส่เส้นเรื่องรอง เก่ง(ธชย ประทุมวรรณ)เข้ามาแทนที่ เพราะฟุตเทจที่ถ่ายมาเป็นเรื่องการที่ทศกัณฐ์ไปที่ต่างๆ ทั้งนั้นเลย ถ้ามองว่าไม่เหมาะสมมันคงมี 40 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อหา เราคงใส่เส้นรองไป ความสมบูรณ์ของงานคงหายไป 40 เปอร์เซ็นต์
“เราตัดต่อแก้ไขคือขั้นต้น ถ้าตัดต่อเสร็จแล้วท่านบอกว่าไม่แฮปปี้ เพราะเรามีฟุตเทจอยู่นี้ แล้วเราแก้ไขไม่ได้แล้ว ถ้าท่านบอกว่าแบนเราก็คงต้องยอมให้แบนในข้อตกลง(ทางคุณลัดดาจะดูตัดต่อแก้ไขเมื่อไหร่)เราจะส่งผลงานไปตรวจวันที่ 27 ก.ย.นี้ จะส่งให้ท่านดูก่อนว่าแฮปปี้มั้ย วันที่ 27 ก.ย. คงได้ดูกันใหม่ (ผลกระทบเยอะมั้ย)กระทบเยอะ เพราะภาพการท่องเที่ยวหายไปเยอะเราถ่ายไปเยอะ ถ้าภาพการท่องเที่ยวมันน้อยลง 30-40 เปอร์เซ็นต์ มันก็มีผลกระทบอยู่แล้ว ภาพสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็จะหายไปเยอะ”
ผู้กำกับชื่อดังเผยต่อว่า ไม่มีเจตนาทำลายวัฒนธรรมแน่นอน เพราะได้จ้างเจ้าหน้าที่ ที่มีความรู้ความสามารถทางด้านนาฏศิลป์ที่เคยทำงานอยู่ที่กรมศิลปากรมาเป็นที่ปรึกษา มากองทุกครั้ง เพราะจะถามตลอดว่าอันนี้เหมาะสมหรือไม่ ตรงนี้ได้หรือเปล่า
“เราถามตลอดว่าอันนี้ทำได้มั้ย ท่านก็จะบอกว่าอันนี้ได้ อันนี้ไม่ควร อย่างเราถามว่าทศกัณฐ์ใส่รองเท้าได้มั้ย ท่านก็บอกว่าห้ามใส่ ถามท่านว่าทศกัณฐ์ใส่แว่นได้มั้ย ท่านบอกไม่ได้(อยากจะฝากอะไรมั้ย ในฐานะคนที่ทำงานตรงนี้)อยากให้กำลังใจทุกคนที่ทำงานสิ่งดีๆ ให้กับสังคม ถึงแม้บางครั้งจะมีอุปสรรคอะไรบ้าง คือสังคมตอนนี้เปิดมากขึ้น มีเรื่องโซเชียลเรื่องอะไรต่างๆ ให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นได้ ต้องเข้าใจยอมรับการแสดงความคิดเห็นของสังคม แต่ถ้าเราตั้งใจทำดีแล้ว มีคนข้างๆ ให้กำลังใจเราอยู่ ให้สู้ต่อไปในการทำในสิ่งที่ดีๆ ส่วนคนที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม เป็นองค์กร เราก็เข้าใจว่าเมื่อท่านมีองค์กร ก็ต้องปกป้ององค์กรตัวเอง เข้าใจได้ แต่เราก็ต้องหาจุดร่วมให้สังคม ผมว่าต่างคนต่างทำหน้าที่แบบนี้ดีแล้ว” อ๊อดเผยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ถามต่อว่าที่โพสต์ในเฟซบุ๊กว่า “ชีวิตวันนี้ช่างขัดแย้งในตัวเองสิ้นดี ช่วงเช้าเข้าประชุมกับกรมส่งเสริมวัฒนธรรมรับข้อกล่าวหาทำลายวัฒนธรรมชาติที่พายักษ์เที่ยว ช่วงสายมาร่วมประชุมคัดเลือกหนังไทยไปออสการ์ กลับถูกคนกลุ่มหนึ่งตราหน้าว่าเป็นพวกยึดมั่นถือมั่นและหลงไหลในวัฒนธรรมมากเกินไปที่เลือกหนังอาปัติไปออสการ์ ตกลงผมเป็นใครในสายตาคุณ #เลือกหนังไทยก็มีเฮ” อ๊อดกล่าวว่า
“เป็นเรื่องน่าขำ ตอนเช้าผมพึ่งเจอข้อหาทำลายวัฒนธรรมแห่งชาติ พอตอนสายไปประชุมคัดเลือกหนังไทยไปออสการ์ โดนสังคมด่าว่าเป็นพวกยึดติดวัฒนธรรม เป็นพวกไดโนเสาร์ ผมเลยขำว่าวันเดียวมีสองบทบาทเลย(หัวเราะ)เลยขำๆ เรื่อง อาปัติ ต้องบอกว่าปีนี้หนังไทยไม่มีเจ๋งๆ เหมือนเมื่อก่อน โหมโรง 15 ค่ำเดือน 11 ที่่เห็นชัดว่านี่เป็นตัวแทนประเทศไทยได้ พอมันไม่ชัด เลยคิดว่าเอาเป็นหนังวัฒนธรรมดีกว่ามั้ย อย่างหนังเรื่อง เทริด ของพี่เอกชัย ศรีวิชัย มีเรื่อง มหาสมุทรและสุสาน, ธุดงควัตร, Snap แค่...ได้คิดถึง และ อาปัติ แต่สุดท้ายคณะกรรมการเห็นว่าถ้าในแง่ดูแล้วสนุกมีเรื่องเล่า คนเข้าใจง่ายก็น่าจะเป็นเรื่อง อาปัติ”ผู้กำกับชื่อดังกล่าว