
แดนสวรรค์ที่กำลังจะกลายเป็นนรก
ไม่นาน ที่เกาะปากัน จะถูกเปลี่ยนจากแดนสวรรค์บนมหาสมุทรแปซิฟิกให้เป็นสนามซ้อมรบของกองทัพสหรัฐและพันธมิตร แต่ชาวบ้านก็ทำทุกวิถีทางเพื่อต่อสู้ปกป้องไว้
แดนสวรรค์ที่กำลังจะกลายเป็นนรก
ไม่น่าเชื่อว่าอีกไม่นาน ดินแดนสวรรค์ในหมู่เกาะกลางมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างเกาะ ปากัน จะเปลี่ยนเป็นสนามซ้อมรบของกองทัพสหรัฐอเมริกา และ พันธมิตร ที่มีการใช้อาวุธจริงชนิดต่างๆมาทดลองยุทธวิธี โดยมีเหตุผลง่ายๆ ว่าเป็นการเตรียมพร้อมไว้ในกรณีที่ต้องเกิดการปะทะกับกองทัพจีนที่กำลังแผ่อิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และพื้นที่น่านน้ำในทะเลจีนใต้ทั้งหมด
เกาะปากัน เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะนอร์ธเทิร์น มาเรียนา ดินแดนในอาณัติของสหรัฐอเมริกา มีที่ตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของฟิลิปปินส์ราว 2560 กิโลเมตร ดังนั้นรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจึงมีสิทธิ์ในการตัดสินใจใช้พื้นที่แห่งนี้ไปในทางใดก็ได้ แม้แต่จะเป็นการทำลายความงดงามของหมู่เกาะแห่งนี้
เพราะในอีกไม่นาน ตามแผนของกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาจะนำกำลังพลทหารน้ำราว 5,000 คน มาประจำการบนเกาะปากัน เพื่อเริ่มฝึกซ้อมทำสงครามตามแผนการนำสหรัฐอเมริกาหวนคืนสู่เอเชีย-แปซิฟิกของรัฐบาลประธานาธิบดีบารัก โอบามา
ซึ่งในสายตาของนักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมมองว่า การซ้อมรบของกองทัพสหรัฐอเมริกานั้น ไม่เพียงทำให้พลเมืองไม่สามารถกลับมาตั้งถิ่นฐานบนเกาะแห่งนี้ได้อีกแล้ว แต่ยังจะทำลายอนุสรณ์ของชนเผ่าดั้งเดิมที่เคยอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้เมื่อกาลก่อน และ ทำลายแหล่งอาศัยของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์อย่างเช่นค้างคาวผลไม้ และ หอยทากต้นไม้ ที่พบได้เฉพาะถิ่นนี้เท่านั้น
นอกจากนั้นกระทรวงกลาโหมสหรัฐยังจะใช้พื้นที่เกาะปากันในการรองรับทหารและพลเรือนที่ทำงานให้กับกองทัพกว่า 8,000 คนที่ต้องย้ายออกมาจากฐานทัพบนเกาะโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ตามสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลวอชิงตันและรัฐบาลโตเกียว ในการลดจำนวนทหารสหรัฐในเกาะทางตอนใต้ของแดนซามูไร โดยทหารส่วนหนึ่งจะไปประจำการที่ฐานทัพบนเกาะกวม และ ฮาวาย
แต่ดูท่าแผนการของกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ที่จะทำลายสภาพความเป็นดินแดนสวรรค์ของเกาะปากัน ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการรวมตัวกันต่อต้านโดยกลุ่มชาวบ้านราว 300 คนที่เคยอาศัยอยู่บนเกาะปากัน แต่ต้องอพยพย้ายออกไปยังเกาะใกล้เคียงเพื่อเลี่ยงภัยจากภูเขาไฟปะทุ ที่เห็นว่าแผนการทำลายถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเองนั้น ไม่ถูกต้องและไม่สมควรเกิดขึ้น ดังนั้นชาวบ้านที่มีถิ่นกำเนิดบนเกาะปากันทำการฟ้องร้องต่อต้านแผนการของกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการเปลี่ยนเกาะปากัน และ ติเนียน ที่อยู่ห่างลงไปทางใต้ราว 320 กิโลเมตร จากสวรรค์บนผืนน้ำเป็นนรกของสิ่งมีชีวิตด้วยการจำลองสมรภูมิรบในพื้นที่นี้
ชาวบ้านบนเกาะปากันยังอาศัยช่องทางและความรู้ของนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมในการต่อต้านแผนการของเพนตากอนในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
เพราะหากเพนตากอนเดินหน้าแผนที่วางไว้ได้ เกาะปากันและติเนียน จะเป็นแหล่งฝึกการรบโดยใช้อาวุธจริงของกองทัพสหรัฐอเมริกา และพันธมิตรในภูมิภาคเอเชีย อย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ ออสเตรเลีย ภายใต้กรอบสมมุติของการทำสงครามต่อต้านกองทัพจีน
หนึ่งในชาวบ้านที่เกิดและโตบนเกาะปากัน อย่างนาย กัส คาสโตร แต่ต้องอพยพย้ายถิ่นเพื่อหลบภัยภูเขาไฟปะทุ เมื่อปี 2524 ไปยังเกาะไซปัน เช่นเดียวกับชาวบ้านอีกราว 300 คน มีความรู้สึกในทางเดียวกันว่า หวงแหนดินแดนสวรรค์ของเกาะปากันอย่างที่สุด
เขาบอกว่า ตั้งแต่ย้ายไปลี้ภัยที่เกาะไซปัน ก็ต้องรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และ สังคมที่นั่นชักจูงให้ตนเองดื่มเหล้า และ สูบบุหรี่ ทำลายสุขภาพตัวเอง
แต่เมื่อย้ายกลับมายังบ้านเกิดบนเกาะปากันแล้ว เขารู้สึกเหมือนกับอยู่บนสวรรค์ เพราะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ บริโภคอาหารดีๆ และ ทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วยไข้อีกเลย
ดังนั้นนายคาสโตรจึงเริ่มดำเนินการสร้างชื่อเสียงให้เกาะแห่งนี้เป็นที่รู้จักในสังคมโลก ด้วยการเชิญช่างภาพมือดีมาเก็บภาพบรรยากาศที่งดงาม และร่วมกับนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม ในการปกป้องเกาะปากันทั้งยังเป็นตัวตั้งตัวตีในการฟ้องร้องต่อต้านแผนการของเพนตากอน โดยการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐบาลกลางแห่งสหรัฐอเมริกาที่มีสาขาอยู่บนเกาะไซปัน กล่าวหาว่าทั้งกระทรวงกลาโหม และ กองทัพเรือปกปิดผลที่จะเกิดขึ้นต่อผู้อยู่อาศัยบนเกาะและสิ่งแวดล้อมจากการเปลี่ยนแดนสวรรค์แห่งนี้ให้เป็นสมรภูมิซ้อมรบ
แต่นายคาสโตรและชาวบ้านก็รู้ดีว่าคงจะต้านกระแสที่เชี่ยวกรากของคำว่า “ความมั่นคงของชาติ” ไม่ได้ จึงตั้งเป้าหมายเพียงการกระตุ้นจิตสำนึกของเพนตากอนและกองทัพเรือ ให้อธิบายและหาทางออก รวมทั้งลดผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชาวบ้าน และ ผลร้ายที่จะเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม
แม้จะทราบชะตากรรมว่าเกาะสวรรค์แห่งนี้จะต้องถูกเปลี่ยนไปเป็นนรกขุมที่ร้อยแปดอย่างแน่นอน