
ปรีชา คงสุข “อาสาสมัคร” ด้วยจิตวิญญาณ
โดย - สันทนา รัตนอำนวยศิริ
นักเรียนโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ตั้งแต่สมัย ม.1 รุ่นแรก หรือเมื่อประมาณ 30 กว่าปีมาแล้ว จนถึงรุ่นปัจจุบัน คงจะคุ้นชินกับภาพครูพละใส่เสื้อโปโล สวมกางเกงวอร์มท่าทางทะมัดทะแมง ที่ชื่อ “ครูปรีชา คงสุข” เดินถือไม้เรียวบ้าง เดินทักทายเด็กนักเรียนบ้าง บางวันก็ดุเด็ก บางวันก็หยอกล้อกับเด็กๆ เป็นบทบาทหน้าที่ของการเป็น “ครู” ที่คอยอบรมบ่มเพาะนักเรียนทุกคนให้เป็นคนดี แต่ใครจะรู้บ้างว่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปีของชีวิต “ครูปรีชา คงสุข” ท่านคือ “อาสาสมัครตัวพ่อ” ที่ทำงานช่วยเหลือสังคมด้วยจิตวิญญาณมาตลอด โดยไม่หวังผลตอบแทนแม้แต่คำ “ขอบคุณ”
นับเป็นโอกาสดีที่ได้นั่งสนทนากับ ครูปรีชา คงสุข ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการจากโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ในวันที่ 30 กันยายน 2559 ที่จะถึงนี้
ครูปรีชาเล่าว่า เมื่อสมัยเป็นวัยรุ่น มีศูนย์เยาวชนของกรมประชาสงเคราะห์ 3 แห่ง คือ ศูนย์เยาวชนห้วยขวาง ศูนย์เยาวชนดินแดง และศูนย์เยาวชนหัวหมาก ที่มีกิจกรรมมากมาย ครูปรีชาเข้าไปร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ในศูนย์เยาวชนห้วยขวางที่อยู่ใกล้บ้าน โดยเฉพาะช่วงปิดเทอมใหญ่ ทางศูนย์เยาวชนทั้ง 3 แห่ง จะรวมกันออกค่ายมีกิจกรรมต่างๆ เป็นเวทีให้เยาวชนกล้าแสดงออก และสอนให้มีระเบียบวินัยมีความสามัคคี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผ่านเกมและกิจกรรมต่างๆ ที่ทำร่วมกันทำให้ครูปรีชาซึบซัมสิ่งเหล่านี้จนกลายเป็นความผูกพัน ที่จะคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นที่ได้รับความเดือดร้อนด้วยความเต็มใจเสมอ
“สมัยนั้น ครูอายุประมาณ 17-18 ปี เข้าไปคลุกคลีทำกิจกรรมอยู่ในศูนย์เยาวชนห้วยขวาง มีเพื่อนฝูงในรุ่นราวคราวเดียวกันมากมายหลายคน เด็กใน 3 ศูนย์เยาวชนได้ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันมาตลอด พอโตขึ้นอีกหน่อยทางศูนย์เยาวชนก็ส่งพวกเราไปอบรมที่สมาคมวายเอ็มซีเอ (YMCA : Young Men’s Christian Association) ทั้งเรื่องกีฬา การละลายพฤติกรรมให้อยู่ร่วมกันในสังคม และอีกหลายเรื่อง เป็นช่วงวัยที่สนุกมาก แล้วในที่สุดพวกเรา 4-5 คน ก็ตั้งกลุ่มทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคมด้วยกันใช้ชื่อว่า กลุ่มนันทนาการอาสาสมัครเพื่อสังคม หรือเรียกย่อๆ ว่า กลุ่ม กนส. โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือสังคมเป็นหลัก”
ต่อมา บุญส่ง แสวงผล เจ้าหน้าที่กรมประชาสงเคราะห์ในสมัยนั้น ได้ส่งให้กลุ่ม กนส.ไปทำเกมให้แก่สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มลุงขาว ไขอาชีพ กลุ่มทันตแพทย์ ส่วนของครูปรีชา เป็นกลุ่มที่ค่อยดูแลเด็กๆ ในชุมชนต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ ที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องออกไปทำมาหากิน และไม่มีเวลาดูแลบุตรหลาน โดยกลุ่ม กนส.จะเข้าไปจัดกิจกรรมนันทนาการต่างๆ ทั้งเกม กีฬา การละเล่น ให้เด็กๆ เหล่านั้นได้ผ่อนคลาย ใช้เวลาว่างให้สนุกไปกับกิจกรรมต่างๆ เรียกว่าไปทุกที่ ในวัด ในชุมชน ซึ่งต่อมาครูปรีชาได้รับรางวัล “อาสาสมัครดีเด่น” สมัยที่ นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี
ครูปรีชาเล่าอย่างภาคภูมิใจว่า โดยส่วนตัวชื่นชอบคำว่า “อาสาสมัคร” หรือ Volunteer มากกว่าคำว่า “จิตอาสา” ที่เรียกขานกันในปัจจุบัน เพราะอาสาสมัครในสมัยก่อน ทุกคนทำงานด้วยกำลังกาย กำลังใจ ไม่ต้องรอการร้องขอ ไม่ต้องสร้างภาพให้คนอื่นเห็นว่า ได้ออกไปช่วยเหลือสังคม ดังนั้น คำว่า “อาสาสมัคร” ในความรู้สึกของครูปรีชาจึงเป็นคำที่หมายถึงการช่วยเหลือที่ออกมาจากจิตวิญญาณที่อยากจะช่วย โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งคำ “ขอบคุณ” แค่เห็นรอยยิ้มของผู้ที่ให้การช่วยเหลือ ก็มีความสุขแล้ว
สิ่งที่ภูมิใจที่สุดในชีวิตอาสาสมัครของครูปรีชา คือ ได้รับรางวัล “ผู้มีผลงานด้านนันทนาการดีเด่นระดับประเทศ สาขา เกม กีฬา และการละเล่นพื้นบ้าน” จากสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในปีมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 เพราะครูปรีชามี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นแรงบันดาลใจในการเป็นอาสาสมัครมาตั้งแต่วัยเด็ก จากที่เห็นการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านทั่วทุกสารทิศอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทำให้ครูปรีชามีกำลังใจที่จะทำหน้าที่อาสาสมัครต่อไปตลอดชีวิต
ครูปรีชาตั้งใจแน่วแน่ว่า ถ้ามีโอกาสและร่างกายอำนวย จะตัดเสื้อกั๊กไว้แจก โดยจะเขียนข้อความไว้ด้านหลังว่า “ช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ” ในชีวิตที่ผ่านมา เคยช่วยเหลือคนไว้มากมาย เช่น ช่วยเหลือคนตกน้ำ ช่วยคนถูกไฟฟ้าช็อต ช่วยคนหัวใจล้มเหลวแบบกะทันหัน ช่วยผู้ประสบอุทกภัย ช่วยคนให้รอดชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง เมื่อตัวเองเกือบจมน้ำตายเพราะลงไปช่วยคนตกทะเลที่เกาะสมุย แต่ด้วยกุศลที่เคยช่วยเหลือคนอื่นไว้ ทำให้รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์
แม้วันนี้ สุขภาพร่างกายจะไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ด้วยความที่ใช้ร่างกายมากเกินไปในวัยหนุ่ม ครูปรีชาก็ยังบอกว่า อยากเป็น “อาสาสมัคร” ต่อไป เพราะอาสาสมัครต้องทำตลอด แม้แต่จะเกษียณอายุราชการแล้วก็ยังทำได้ ทำเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่ร่างกายจะทำได้ หรือถ้าร่างกายไม่ไหวก็สามารถช่วยเหลือทางด้านทุนทรัพย์ตามกำลังที่ไหว แม้ตายไปแล้ว เราก็ยังเป็นอาสาสมัครได้ ด้วยการบริจาคร่างกาย หรืออวัยวะ ให้แก่สภากาชาดไทย เพื่อเป็นวิทยาทานแก่นักเรียนแพทย์ได้ศึกษาให้เกิดประโยชน์ต่อไป
“ครูปวารณาตัวไว้แล้วว่า อยากนำวิชาความรู้ และประสบการณ์ การทำเกม เรื่องเกม กิจกรรมนันทนาการต่างๆ ไปถ่ายทอดให้ผู้ที่อยากเรียนรู้ ร่างกายอาจจะไม่พร้อม แต่ใจพร้อม อีกทั้งเรามีทีมงานและอาสาสมัคร ที่ต้องการลงพื้นที่ช่วยเหลืออีกหลายคน ตอนนี้กลุ่ม กนส.ก็ยังมีอยู่ ยังทำกิจกรรมร่วมกันอยู่จนถึงทุกวันนี้”
ครูปรีชาเล่าถึงการเข้าไปมีส่วนในการทำเกม และกิจกรรมนันทนาการ กับทัวร์ว่า ได้รู้จักกับ บุญทวี ทับสุวรรณ เจ้าของบริษัท อาทิตย์ทัวร์ ซึ่งในสมัยนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังมาก เขากำลังต้องการคนไปจัดเกม หรือกิจกรรมนันทนาการ ให้แก่ลูกทัวร์ โดยเฉพาะเกมรอบกองไฟ ที่ทุกทัวร์จะต้องมีกิจกรรมนี้ พอครูปรีชาได้เข้าไปทำเกมให้อาทิตย์ทัวร์สักระยะหนึ่ง ทางบริษัทก็ส่งให้ไปอบรมมัคคุเทศก์ ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร รุ่นแรก เป็นเวลา 3 เดือน ขณะนั้นครูปรีชากำลังศึกษาระดับปริญญาตรี คณะพลศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว)
ขณะที่ทำเกมให้บริษัททัวร์อยู่นั้น ครูปรีชาได้รวบรวมเกมต่างๆ ไว้มากมาย แต่ยังไม่ได้รวมเล่ม แต่พอมาปี 2540 ยุคฟองสบู่แตก ก็นั่งคิดเล่นๆ ว่า อยากจะนำบทความเกี่ยวกับเกมที่รวบรวมไว้มาทำเป็นพ็อกเก็ตบุ๊กเพื่อจำหน่าย จนกระทั่งถูกภรรยาแซวเชิงประชดว่า จะทำไว้เป็นหนังสือที่ระลึกแจกในงานศพตัวเองหรืออย่างไร กลายเป็นการจุดประกายให้ครูปรีชารวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เขียนไว้ มาจัดทำเป็นพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มแรก “เกมออนทัวร์” ออกมา จากนั้นก็ออกเล่มสอง เล่มสาม ตามมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเล่มล่าสุดที่กำลังเตรียมจัดพิมพ์ คือ เรื่องเล่าชาวไกด์ เล่ม 2 ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ
“หนังสือทุกเล่มที่เขียนออกมาจากประสบการณ์การทำเกมในทัวร์ล้วนๆ สอดแทรกจิตสำนักของการมีใจอาสาที่จะช่วยเหลือสังคม อย่างเล่ม “นันทนาการเพื่อการเรียนรู้” ขายราคาถูกแค่ 69 บาท เพราะต้องการนำรายได้ทั้งหมด โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ไปสนับสนุนนักกีฬาวอลเลย์บอลของโรงเรียน หรือหนังสือการพัฒนาบุคลิกภาพและฝึกอบรม “มันคือเกม” ที่ทางสำนักพิมพ์ซีเอ็ด ส่งคืนมา 500 กว่าเล่ม ครูจำหน่ายในราคาเล่มละ 100 บาท เพื่อนำเงินไปเป็นทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนบดินทรที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการเรียน หรือนักเรียนยากจนในจังหวัดต่างๆ ที่ร้องขอเข้ามา หรือหากผู้ใดต้องการบริจาคเงินเพื่อซื้อหนังสือเล่มนี้มอบให้สถานศึกษาที่ต้องการ กรุณาติดต่อที่ครูปรีชา (08-1836-8963) โดยตรง เพื่อนำไปมอบให้แก่โรงเรียนนั้นๆ ต่อไป”
ครูปรีชาฝากถึงข้าราชการทุกท่านที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้ว่า วัยนี้เป็นวัยของการพักผ่อน อย่าไปตีโพยตีพายว่า จะต้องทำอย่างนี้ทำอย่างนั้นอย่างที่เคยทำมา หรืออย่างที่อยากจะทำเพราะสภาพร่างกายในวัย 60 ปีของบางคน อาจจะไม่พร้อมที่จะทำบางสิ่งบางอย่างที่ตั้งใจไว้ได้
“อยากให้คิดให้รอบคอบว่า เวลาที่เหลือหลังจากนี้ จะนำไปใช้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น หรือต่อสังคม ได้บ้าง โดยที่เราเองไม่เดือดร้อน ครอบครัวไม่เดือดร้อน คนรอบข้างก็ไม่เดือดร้อน ต้องสบายใจด้วยกันทุกฝ่าย ชีวิตหลังเกษียณถึงจะมีความสุขอย่างแท้จริง”