
ทำไมแฟนบอลเมืองทอง-ท่าเรือถึงวิวาทกัน?
.
ภาพแฟนบอลบางส่วนของทั้ง เอสซีจี เมืองทองฯ กับ การท่าเรือ ที่ก่อเหตุวิวาท ยกพวกตีกัน บริเวณรอบนอกสนามเอสซีจี หลังจบเกมเมื่อคืนวานนี้ (14 ก.ย.2559) ศึกโตโยต้า ลีกคัพ 2016 รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น แต่เป็นภาพที่ทุกคนไม่รู้สึกชิน แถมยังรู้สึกหดหู่มากกว่าเดิม
ตามประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอล ไม่มีบันทึกใดระบุว่าทั้ง 2 ทีม เคยขัดผลประโยชน์เรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่ฟุตบอล แถมผู้บริหารและตัวสโมสรยังรู้จักสนิทชิดเขื้อกันเป็นอย่างดี
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 20 ก.พ.2553 ทั้งคู่โคจรมาพบกันในศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ประเภท ก ที่สนามศุภชลาศัย โดยระหว่างเกมมีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น อาทิ ลีลาของเฮดโค้ชทั้ง 2 ทีม, การตัดสินของกรรมการที่ไม่ถูกใจแฟนบอล, การปะทะกันหนักๆ ของนักเตะ ฯลฯ แต่ทั้งหมดคือสีสันและเป็นส่วนหนึ่งของฟุตบอล
ทว่าหลังจากที่ เมืองทองฯ ได้ประตูนำ 2-0 ในนาที 81 หลังจากนั้นแฟนบอล การท่าเรือ บางคน ได้ขว้างปาขวดน้ำลงสนาม ประกอบกับตะโกนข้ามฝั่งกันไปมาระหว่างแฟนบอล ท่าเรือ และ เมืองทองฯ ก่อนจะมีการพังรั้วและเข้าถึงตัวจนเกิดการปะทะกันไล่ตั้งแต่โซนแฟนบอล ท่าเรือ จนมาถึงโซนของ เมืองทองฯ ซึ่งแน่นอนว่ารายการถ้วยอันทรงเกียรติได้ยุติการแข่งขันทันที เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายคนเรียกว่า “จราจล”
มีแฟนบอลเมืองทองฯ และ ท่าเรือ ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้มากมาย ขณะที่อีกมุมนึงปรากฎภาพแฟนบอล ท่าเรือ รายหนึ่ง ก้มลงกราบแฟนบอล เมืองทองฯ เพื่อเป็นการขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงบอกได้ว่าการทะเลาะวิวาทของแฟนบอลเกิดจากการกระทำของกลุ่มคนเล็กๆ เท่านั้น ที่เป็นปลาเน่าทำให้คนอื่นๆ เดือดร้อน
สุดท้าย สมาคมฟุตบอลฯ ได้ลงโทษ การท่าเรือ ด้วยการปรับเงิน 131,750 บาท, ห้ามเล่นในบ้าน 3 นัด, แบนแฟนบอลจำนวน 10 ราย ห้ามเข้าสนาม 1 ปี, แบนเฮดโค้ช สะสม พบประเสริฐ 3 นัด, แบนนักเตะ พงษ์พิพัฒน์ คำนวน 3 นัด ส่วน เมืองทองฯ แบนเฮดโค้ช เรเน เดอซาเยียร์ 3 นัดเช่นกัน
นี่คือครั้งแรกที่ทั้งคู่เกิดความบาดหมางกัน แต่มีบางคนที่ทำตัวเป็นอันธพาลได้ตั้งธงว่าจะต้องมีการเอาคืน จึงเป็นสาเหตุให้การวิวาทกันของแฟนบอลทั้ง 2 ฝ่าย เกิดขึ้นตามมาอีก จากกลุ่มคนหน้าเดิมๆ
กระทั่งวันที่ 18 ต.ค.2557 ในศึก ไทยพรีเมียร์ลีก เมืองทองฯ เปิดสนามเอสซีจี พบ การท่าเรือ ในชื่อ “สิงห์ท่าเรือ” ผลการแข่งขันปรากฎว่า เมืองทองฯ ชนะ 3-1 ซึ่งหลังจบเกมแฟนบอลไม่กี่คน (อีกแล้ว) ได้ที่ก่อเหตุวิวาทบริเวณนอกสนามเอสซีจี ซึ่งสุดท้ายเหตุการณ์นี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมากเหมือนเช่นเคย
ว่ากันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่เพิ่มดีกรีความเดือดให้กับแฟนบอลที่ขาดสติและตกเป็นทาสของแอลกอฮลล์
แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ สมาคมฯ ได้พิจารณาบทลงโทษที่หนักกว่าเดิม โดยตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณามารยาทวินัยและข้อประท้วง ขึ้นมาเพื่อพิจารณาโทษทั้ง 2 ทีม และปรากฎว่าผลการพิจารณาฯ มีมติตัดแต้มทั้ง 2 ทีม ทีมละ 9 คะแนน, ปรับเงินทีมละ 3 แสนบาท และแบนแฟนบอลทั้ง 2 ทีมห้ามเข้าสนาม 3 นัด
จากบทลงโทษดังกล่าวถือว่าค่อนข้างหนัก เพราะมีผลต่อการลุ้นแชมป์ของเมืองทองฯ และหนีตกชั้นของ ท่าเรือ ขณะเดียวกันคณะอนุกรรมการฯ ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า หากทั้ง 2 ทีมยังคงก่อเหตุลักษณ์เดิมอีก จะถูกลงโทษขั้นสุงสุดคือ ลดดิวิชั่น หรือ เพิกถอนใบอนุญาตเข้าร่วมแข่งขันลีกอาชีพของประเทศไทย
หลังจากวันนั้นทั้ง 2 ทีม มีโอกาสเจอกันในรายการต่างๆ แต่ไม่มีเหตุการณ์วิวาทเกิดขึ้น ซึ่งหลายคนภาวนาว่าจะเหตุการณ์วิวาทจะหมดไปอย่างจริงจังซักที
แต่แล้วก็เกิดขึ้นอีกจนได้ เมื่อคืนวันที่ 14 ก.ย.2559 ที่ผ่านมา!!!
แน่นอนว่าสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่มีนายตำรวจอย่าง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง เป็นนายกสมาคมฯ เตรียมประชุมเพื่อลงโทษผู้เกี่ยวข้อง โดยลั่นวาจาเอาไว้ว่า “โทษจะต้องหนักกว่าเดิม”
สุดท้ายไม่ว่าทั้ง 2 ทีมจะโดนลงโทษอย่างไร แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก ซึ่งคงไม่มีการป้องกันใดๆ ดีเท่ากับการปราบ “ปลาเน่า” เหล่านี้อย่างจริงจังและเข็ดหลาบ ส่วนสโมสรที่เป็นเจ้าบ้านต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้แน่นหนาขึ้นกว่าเดิม
หากยังปราบ “ปลาเน่า” ไม่ได้ บางทีอาจได้เป็นปลาดีๆ ว่ายออกมาจากวงการฟุตบอลเสียเอง ซึ่งเมื่อถึงวันนี้ฟุตบอลไทยก็จะกลับไปสู่ความตกต่ำเหมือนที่เคยเป็นมา!!!