ข่าว

สำเร็จแล้ว“พลวงชมพู”เลี้ยงในบ่อ กก.2พัน-กินได้ทั้งเกล็ด!

สำเร็จแล้ว“พลวงชมพู”เลี้ยงในบ่อ กก.2พัน-กินได้ทั้งเกล็ด!

15 ก.ย. 2559

โดย - โต๊ะข่าวเกษตร

 

         หลังจากที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลา กรมประมง ได้ศึกษาวิจัยปลาชนิดนี้มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2515 “พลวงชมพู” ซึ่งเป็นเป็นปลาน้ำจืดประจำท้องถิ่นใน จ.ยะลา นราธิวาส ที่กำลังจะสูญพันธุ์ กลับสามารถเลี้ยงได้ในบ่อซิเมนต์ และบ่อดินได้จนสำเร็จ ล่าสุดได้นำร่องให้เกษตรกรเลี้ยงได้แล้วในบ่อเดียวกันกับปลาจีน ระบุจุดเด่นทำเมนูอาหารได้หลายอย่าง รับประทานได้ทั้งเกล็ด ใช้เวลาเลี้ยง 2 ปี ราคา กก.ละ 2,000 บาท

 

สำเร็จแล้ว“พลวงชมพู”เลี้ยงในบ่อ กก.2พัน-กินได้ทั้งเกล็ด!

  ดร.จูอะดี พงศ์มณีรัตน์ 

           ดร.จูอะดี พงศ์มณีรัตน์ รองอธิบดีกรมประมง บอกว่า ปลาพลวงชมพูเป็นปลาที่อยู่ในตระกูลเดียวกับปลาเวียน และปลาพลวงหิน เป็นปลาที่รู้จักกันในภาคอื่นเรียกว่า “ปลาเวียน” แต่ภาษาท้องถิ่นภาคใต้ว่า ปลากือเลาะห์ ปัจจุบันปลาชนิดนี้ได้ลดจำนวนลงมากจนถึงใกล้สูญพันธุ์ เพราะที่ผ่านมาไม่สามารถเพาะพันธุ์และเลี้ยงได้ จึงทำให้มีราคาค่อนข้างสูง ด้วยเหตุนี้ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลา กรมประมง จึงได้ศึกษาวิจัยปลาชนิดนี้มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2515 และได้ดำเนินการศึกษาวิจัยปลาพลวงชมพูมาอย่างต่อเนื่องจนสามารถเพาะพันธุ์ปลาชนิดนี้ได้โดยใช้พ่อแม่พันธุ์ในบ่อดินและบ่อซีเมนต์ ทางกรมประมง เตรียมส่งเสริมและผลักดันปลาชนิดนี้ให้เป็นปลาเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาได้ต่อไป

            สนธิพันธ์ ผาสุขดี ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง เล่าว่า ปลาพลวงชมพูนับเป็นปลาธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งที่มีศักยภาพในการส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงเพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เนื่องจากเป็นปลาที่นิยมรับประทานใน ประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยเฉพาะประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่นิยมรับประทานปลาชนิดนี้กันมาก แต่ติดที่มีกฎหมายห้ามจับปลาชนิดนี้ตามธรรมชาติมารับประทาน รวมถึงในมาเลเซียก็ยังไม่สามารถวิจัยเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ปลาชนิดนี้ได้ ประกอบกับปลาชนิดนี้เป็นปลาธรรมชาติที่ใกล้สูญพันธุ์ กรมประมงได้ตระหนักและเห็นว่าปลาชนิดนี้มีศักยภาพในทางเศรษฐกิจจึงทำการศึกษาวิจัยเพาะขยายพันธุ์

             จากความสำเร็จของศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลา กรมประมง ที่สามารถทำการวิจัยและเพาะขยายพันธุ์ได้ โดยสามารถเพาะเลี้ยงได้ทั้งบ่อดิน และบ่อซีเมนต์ จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะผลักดันให้ปลาชนิดนี้เป็นปลาเพื่อการส่งออกและทำตลาดในประเทศและต่างประเทศได้รู้จักกันมากยิ่งขึ้น

             จุดเด่นของปลาชนิดนี้ สนธิพันธุ์ บอกว่า เป็นปลาที่สามารถรับประทานได้ทั้งเกล็ด ให้เนื้อสัมผัสดี รสชาติอร่อย สามารถใช้ประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งแกง ต้ม นึ่งซีอิ๋ว และทอด ซึ่งคาดว่าในอนาคตปลาพลวงชมพู จะเป็นปลาเกรดพรีเมี่ยมอีกชนิดที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและประเทศได้อย่างแน่นอน

 

สำเร็จแล้ว“พลวงชมพู”เลี้ยงในบ่อ กก.2พัน-กินได้ทั้งเกล็ด!

 

              ขณะที่ นพดล จินดาพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลา บอกว่า ปัจจุบันหลังจากที่กรมประมงสามารถเพาะขยายพันธุ์ปลาพลวงชมพูได้แล้ว ล่าสุดนี้ทางศูนย์ฯ ได้นำร่องส่งเสริมการเลี้ยงปลาพลวงชมพูด้วยการแจกพันธุ์ปลาพลวงชมพูให้กับเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดยะลาไปทดลองเลี้ยงพร้อมติดตามผลอย่างใกล้ชิด จำนวน 50 ราย ทั้งเลี้ยงเดี่ยว และเลี้ยงร่วมกับปลาจีน เนื่องจากปลาพลวงชมพูเป็นปลาที่ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยง 1 - 2 ปี เท่ากันกับปลาจีน โดยทั่วไปน้ำหนักปลาพลวงชมพูที่ตลาดต้องการ ประมาณ 1 กิโลกรัมขึ้นไป หรือถ้าขนาดใหญ่ก็จะขายได้ราคาดี

              ดังนั้น การเลี้ยงร่วมกันนอกจากจะช่วยส่งเสริมด้านสภาพแวดล้อมแล้วและสร้างรายได้ที่ดีให้เกษตรกรมากขึ้น เพราะปลาจีนจะขายอยู่ที่ กก.ละ 250 บาท แต่ปลาพวงชมพูจะขาย กก.ละ 2,000 บาท และในแถบประเทศเพื่อนบ้านเราบางประเทศปลาพลวงชมพูขนาดตัวละ 2 - 3 กก.ราคาจะพุ่งสูงถึงกิโลกรัมละ 6,000 - 7,000 บาท

            เป็นเรื่องที่น่าดียิ่งที่กรมประมงประสบผลสำเร็จในการพัฒนาวิจัย ทำให้ปลาพลวงชมพู ให้ัสามารถกลับี่เลี้ยงทั้งในบ่อดิน และบ่อซิเมนต์ได้ จะทำให้เกิดอาชีพใหม่่ให้กับเกษตรกรในพืนที่ 3 จังหวัดชายภาคใต้ได้