
ยึด20ไร่เกาะมะพร้าวภูเก็ตเตรียมออกเอกสารสิทธิ์
ปทส.สนธิกำลังหลายหน่วย เข้าตรวจยึดพื้นที่บุกรุกป่าเนื้อที่ 20 ไร่ บนเกาะมะพร้าว ภูเก็ต พบเป็นที่พัก 14 หลัง ปล่อยเช่าระยะยาว พบหลักหมุดคาดเตรียมออกเอกสารสิทธิ์
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 14 กันยายน 2559 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) นำโดย พ.ต.อ.บัญชา ปั้นประดับ รอง ผบก.ปทส. พ.ต.ต.กิตวรุตม์ พุฒนวล สว.กก.5บก.ปทส. สนธิกำลังร่วมกับป่าไม้ เจ้าหน้าที่ทหารบท มทบ.41 ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ตำรวจท่องเที่ยว นายเจษฎา แนบเนียน กำนันตำบลเกาะแก้ว และผู้แทนจากองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะแก้ว (อบต.เกาะแก้ว) เข้าตรวจสอบการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยซึ่งตั้งบนเนินเขาภายในหมู่บ้านบ้านเกาะมะพร้าว หมู่ที่ 6 ต.เกาะแก้ว อ.เมืองภูเก็ต
หลังจากมีผู้ร้องเรียนว่ามีนายทุนกว้านซื้อที่ดินซึ่งไม่เอกสารสิทธิ์จากชาวบ้านทำการปลูกสร้างรีสอร์ท ซึ่งต้องนั่งเรือหางยาวข้ามฟากจากเกาะภูเก็ตไปยังเกาะมะพร้าว โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที จากนั้นต้องนั่งรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อเข้าไปยังพื้นที่ที่จะทำการตรวจสอบ ซึ่งห่างจากสะพานท่าเทียบเรือประมาณ 3 กิโลเมตร โดยเส้นทางที่เข้าไปนั้นค่อนข้างคับแคบและมีความลาดชัน สภาพถนนส่วนใหญ่จะมีเป็นพื้นปูนซิเมนต์เป็นระยะๆ สองข้างทางจะมีลักษณะเป็นสวนยางพาราและเป็นป่าไม้ ไม่พบเห็นบ้านเรือนของประชาชน
เมื่อไปถึงพื้นที่ที่จะทำการตรวจสอบ ได้มีชาวต่างชาติ ทราบชื่อคือนายอาดัม สัญญาชาติสวีเดน มาแสดงตัวรับเป็นผู้ดูแล พร้อมนำตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ พบมีการก่อสร้างอาคารเป็นลักษณะที่พักเล่นระดับตามไหล่เขารวมจำนวน 14 หลัง นอกจากนี้ยังพบอาคารสิ่งปลูกสร้างซึ่งเตรียมจัดทำเป็นร้านอาหารแต่ยังไม่แล้วเสร็จอีกจำนวนหนึ่ง รอบๆพื้นที่ที่มีการก่อสร้างจะเป็นป่าสวนยางและป่ารกทึบมีต้นไม้ขนาดใหญ่ หากมองจากจุดที่มีการก่อสร้างบ้านพักอาศัยแล้วจะเห็นวิวทะเลของอ่าวสะปำ อ.เมือง จ.ภูเก็ตและเกาะยาว อ.เกาะยาว จ.พังงา ได้ชัดเจน ตรวจสอบพบบ้านบางหลังมีผู้อยู่อาศัยเป็นชาวต่างชาติ สอบถามทราบว่า เป็นการเช่าอยู่อาศัยระยะยาว
พ.ต.อ.บัญชา ปั้นประดับ รอง ผบก.ปทส. กล่าวถึงการตรวจสอบที่ดินแปลงดังกล่าวว่า เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนไปยังสายตรวจปราบปรามประจำจังหวัดภูเก็ต โดยระบุว่ามีนายทุนกว้านซื้อที่ดินชาวบ้านที่ไม่มีเอกสารที่ดินไปทำรีสอร์ท และยังไม่เคยมีใครเข้าไปตรวจสอบ และได้รายงานผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาและสั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง
โดยเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2559 พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวด้วยเฮลิคอปเตอร์ร่วมกับนายวิฑูรย์ ชลายนนาวิน ผู้เชี่ยวชาญของศาลในทางวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศและแผนที่สำนักงานศาลยุติธรรม ทะเบียนเลขที่ 6/2555 นายบุญสืบ สมัครราช ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 (กระบี่) พบมีลักษณะก่อสร้างอาคารบริเวณที่สูง และสภาพพื้นที่เป็นป่าเบญจพรรณ
ขณะเดียวกันทางสายตรวจปราบปรามได้ไปสืบสวนในพื้นที่ทราบว่า มีการก่อสร้างอาคารเป็นบ้านพักอาศัยจำนวนหลายหลังให้บริการนักท่องเที่ยวเข้าพักอาศัย และตรวจสอบหลักฐานทางที่ดินที่สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตแล้วปรากฏว่าพื้นที่บริเวณดังกล่าวในระวางแผนที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตไม่มีหลักฐานทางที่ดินแสดงไว้
สืบสวนจากชาวบ้านแล้วทราบว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวไม่มีหลักฐานทางที่ดินมีเพียงหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่เท่านั้น จึงได้รายงานให้ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. ทราบ พร้อมสั่งการให้ดำเนินการตามยุทธการไพร่ฟ้าหน้าใส ในตรวจยึดพื้นที่ที่มีการบุกรุกคืนเป็นของรัฐ ตามนโยบาย คสช.
จากการตรวจพบเบื้องต้นว่า นายอาดัม ได้นำเอกสารต่างๆ มาแสดงต่อเจ้าพนักงาน ซึ่งพบว่า เป็นเพียงใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ ไม่ได้มีหลักฐานเอกสารสิทธิในการครอบครองที่ดินแต่อย่างใด ขณะเดียวกันได้นำตรวจสอบตามหลักเขตรอบบริเวณจำนวน 18 มุด รวมเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ ซึ่งการมปักมุดหลักเขตดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมการเพื่อยื่นขอออกเอกสารสิทธิ
และหากที่ดินดังกล่าวสามารถยื่นออกเอกสารสิทธิ์ได้จะทำให้ที่ดินบริเวณนี้มีราคาไร่ละไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบมีการปลูกสร้างบ้านพักอาศัยจำนวน 14 หลัง บางหลังมีชาวต่างชาติอาศัยอยู่ เบื้องต้นในส่วนของนายอาดัม คงไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าว เพราะเป็นเพียงผู้ดูแล แต่จะมีการร้องทุกข์กล่าวโทษกับผู้ครอบครองที่มีชื่อปรากฏอยู่ในใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ต่อไป ในข้อหาบุกรุกพื้นที่ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 มาตรา 4 (1) และตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9 รวมถึง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร เพราะทราบว่าอาคารที่ก่อสร้างนั้นยังไม่ได้มีการขออนุญาตจากทาง อบต.เกาะแก้ว พ.ต.อ.บัญชากล่าว
รายงานเพิ่มเติมด้วยว่า จากการพูดคุยทราบว่า สำหรับที่ดินแปลงดังกล่าว ทางผู้ครอบครองได้ซื้อต่อมาอีกทอดหนึ่งมาเป็นเวลาประมาณ 18 ปี โดยเจ้าของก่อนหน้านี้ไดมีการซื้อจากชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งได้มีการจับจองทำกิน โดยทำเป็นสวนยางพารา และผู้ครองครองคนปัจจุบันได้มีการปรับพื้นที่บางส่วนทำเป็นบ้านพักตากอากาศสำหรับให้ผู้สนใจเช่าในระยะยาว ซึ่งผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ และจะมาพักเป็นระยะๆ โดยมีการจ้างให้คนในท้องถิ่นเป็นผู้ดูแล