"นิกร"ค้านมท.-คสช.จัดเลือกตั้ง | คมชัดลึก

          2 ก.ย. -- นายนิกร จำนง กรรมาธิการ (กมธ.) ปฏิรูปด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวถึง รายงานข้อเสนอแนะการจัดทำร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ว่า ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอให้กระทรวงมหาดไทยมีส่วนร่วมจัดการเลือกตั้ง เหตุผลของข้อเสนอนี้มาจากการที่กกต.จัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 57 ไม่สำเร็จ จึงมีผู้เสนอให้กระทรวงมหาดไทยมาช่วยจัด เพราะมีกำลังคนพร้อม แต่ประสบการณ์ทางการเมืองกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ตนสัมผัสมาแล้วว่า รมว.มหาดไทย ที่มีสังกัดพรรคการเมือง จะมีอำนาจและอิทธิพลสูง สามารถกดดันบุคลากรในพื้นที่จนทำให้การเลือกตั้งไม่ชอบธรรมได้ ข้อเสนอนี้จะทำให้เสียมากกว่าได้  ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการบริหารจัดการของกกต.ไม่ได้เกี่ยวกับกฎหมายที่เป็นเรื่องของโครงสร้างอำนาจหน้าที่ ดังนั้นการจัดการเลือกตั้งควรจะเป็นกกต.เหมือนเดิม เพื่อความเป็นอิสระในการทำงาน  เราพัฒนาประชาธิปไตยมาแล้ว จะกลับไปแบบเดิมไม่ได้ ส่วนข้อเสนอประเด็นอื่น เช่น การห้ามใส่ซองช่วยเหลืองานบุญ ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เดิมระหว่างประกาศใช้กฤษฎีกาการเลือกตั้ง นักการเมืองก็จะระวังเรื่องนี้ หรือไม่ก็ให้การช่วยเหลือไม่สูงเกินไปอยู่แล้ว

          “ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง กับบทเฉพาะกาลกำหนดให้ คสช. เข้ามามีบทบาทควบคุมจัดการเลือกตั้งร่วมกับกกต. ในปี 2560 เพราะคสช. ก็มีอำนาจมาตรา 44 ครอบทั้งหมดอยู่แล้ว การไปดึงคสช.ลงมาเกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งถัดไป ที่มีไว้เพื่อกลับสู่ระบอบประชาธิปไตย จะทำให้ทุกอย่างเสียไปทั้งระบบ เราจะตอบสังคมโลกอย่างไร ลำพังตอนนี้เรามีประชาธิปไตยเพียงครึ่งใบ หากให้คสช.มาช่วยจัดเลือกตั้งอีก ประชาธิปไตยจะเหลือเพียงแค่เสี้ยวใบ" นายนิกรกล่าว 

           นายนิกร กล่าวอีกว่า ข้อเสนอของกมธ.การเมือง สปท. ใช้มติเสียงข้างมากในการรับรองข้อเสนอ แต่ตัวแทนฝ่ายการเมืองมีน้อย จึงทำให้บางประเด็นเสียงสู้ไม่ได้ แต่ข้อเสนอในบทเฉพาะกาลตนยืนยันว่า ไม่มีการนำมาพิจารณาในที่ประชุมกมธ.การเมืองเพื่อขอมติ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของสมาชิกสปท.บางคนเท่านั้น รายงานข้อเสนอแนะการร่างพ.ร.บ.การเลือกตั้งส.ส.ที่ออกไปจึงมีหลายระดับ ไม่ใช่ทุกประเด็นที่เห็นชอบร่วมกันทั้งหมด อีกทั้ง รายงานฉบับดังกล่าวยังไม่เสร็จ ต้องรอการพิจารณารอบสุดท้าย ร่วมกับรายงานข้อเสนอแนะเนื้อหาร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง ในการประชุมกมธ.การเมือง วันที่ 6 ก.ย.นี้อีกครั้ง ก่อนจะนำเข้าสู่การอภิปรายของที่ประชุมใหญ่สปท.ต่อไป