ข่าว

"แม่รุ่นใหม่" ให้การ "ฉันต้องทำได้"

"แม่รุ่นใหม่" ให้การ "ฉันต้องทำได้"

12 ส.ค. 2552

ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตหญิงสาวต้องทำหน้าที่เป็นผู้ให้กำเนิดทายาท และด้วยความสดของความเป็น "แม่" อีกทั้งใช้ชีวิตอยู่ในยุคที่รอบกายเต็มไปด้วยเทคโนโลยี และแนวคิดสมัยใหม่ มุมมองเรื่องการเลี้ยงลูกของพวกเธอ จึงอาจแตกต่างจากคนรุ่นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย แม่รุ่นใหม่

 ประเดิมด้วยคุณแม่ลูกแฝดอย่าง "บิ๋ง" นันทมาลี ภิรมย์ภักดี ที่ต้องดูแลลูกแฝด "น้องเจมม์" นันทวุฒิ และ "น้องบีม" วรณัน วัย 3 ขวบ และอีกบทบาทเป็นเวิร์กกิ้ง วูเมน เธอเล่าให้ฟังถึงการเลี้ยงลูกแฝดชายหญิงว่า ลูกแฝดต่างเพศแตกต่างจากลูกแฝดเพศเดียวกัน สิ่งที่ต้องสอนสั่งตั้งแต่ลูกทั้งสองเริ่มเรียนรู้ คือ "ความรักระหว่างพี่น้อง" ที่จะต้องมีให้กันเสมอ ดังนั้นเมื่อลูกคนใดไม่เห็นหน้ากัน ก็จะคิดถึงและคอยถามถึงกันอยู่ตลอดเวลา

 "บิ่งเริ่มสอนให้เขารู้จักความแตกต่างในเรื่องของเพศชายหญิงก่อน ตอนเขาเล็กๆ ของเล่นก็จะซื้ออะไรที่เป็นกลางๆ ให้เล่นด้วยกัน พอเริ่มรู้เรื่องลูกชายก็จะซื้อรถให้เล่น ส่วนลูกสาวก็จะให้เขารู้จักตุ๊กตา พอโตขึ้นมาหน่อยก็จะเลือกซื้อให้เหมาะกับเพศทั้งรูปแบบและสี ต้องสอนให้เขาเรียนรู้การเลือกใช้สิ่งของให้ถูกกาลเทศะและมิกซ์แอนด์แมทช์ให้ดูดี เรื่องมารยาททางสังคมก็สำคัญ บิ๋งจะสอนให้เขารู้จักการไหว้และนอบน้อมต่อผู้ใหญ่ด้วย" คุณแม่คนเก่งเล่าอย่างอารมณ์ดี

 นอกจากนี้ เธอยังสอนให้ลูกทั้งสองรู้จักกับความผิดหวัง แต่จะใช้เหตุผลรวมถึงจิตวิทยาในการเลี้ยงดู เพื่อให้ลูกๆ สามารถตอบโต้และปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ได้

 "บิ๋งจะไม่เลี้ยงเขาแบบแนวตรงเป๊ะตลอด ไม่ใช่อะไรๆ ก็ต้อง 1 2 3 4 ตามระบบเสมอ ดังนั้นเรื่องการทำโทษก็มีบ้าง แต่บิ๋งจะไม่ใช้วิธีตีลูก รู้สึกว่าการตีจะทำให้เด็กเก็บกด แต่จะสอนเขาด้วยเหตุผลว่าอะไรควรไม่ควร ต้องบอกว่าเหนื่อยกับการใช้จิตวิทยาในการเลี้ยงพอสมควร แต่ก็สนุกเพราะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ จากลูกเหมือนกัน" บิ๋งแจกแจง

 ไม่ต่างกับคุณแม่ "โมนา" วิภาวี คอมันตร์ ที่กำลังฟูมฟักลูกแฝดของเธอ "น้องธิ" เอกวิทย์ และ "น้องดา" วรดา วัยเพียง 3 เดือน ซึ่งลูกน้อยคลอดก่อนกำหนดเล็กน้อย ทำให้อาจมีปัญหาเรื่องสุขภาพและน้ำหนักตัว แต่ตอนนี้ลูกมีน้ำหนักเกือบ 5 กก. สุขภาพดีขึ้นมาก ที่สำคัญยังกินเก่ง ต้องให้นมทุกๆ 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างไรคนเป็นแม่ก็ยังห่วงเรื่องสุขภาพของลูกอยู่ดี

 “ตั้งแต่คลอดก็คอยดูแลอย่างใกล้ชิดมาตลอด 3 เดือนที่ผ่านมายังไม่ได้ออกไปทำงานนอกบ้าน เพราะคุณแม่จะคอยย้ำกับเราเสมอว่า ในช่วง 2 ปีแรกนี้ ให้อยู่กับลูกให้มากที่สุด อยู่กับพวกเขาให้เต็มที่ และให้ความรักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนเรื่องงานก็ไม่ได้ทิ้งนะ มีโทรคุยงาน สั่งงานหรือประชุมบ้าง และถึงจะมีพี่เลี้ยงอีก 2 คนคอยช่วยดูแล แต่ก็จะไม่ปล่อยให้คลาดสายตาหรือให้พี่เลี้ยงดูแลตามลำพัง ต้องคอยให้อยู่ในสายตาตลอด

 เลี้ยงลูกฝาแฝดมีทั้งยากและง่ายแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา ช่วงก่อน 3 เดือน น้องธิจะเลี้ยงง่ายมาก ขณะที่น้องดาจะดิ้นยุกยิกๆ ไม่ค่อยอยู่เฉย แต่พอหลังจาก 3 เดือน กลายเป็นว่าน้องธิจะไม่ค่อยชอบกินนมจากแม่โดยตรง ต้องคอยปั๊มไว้ให้เขา แต่น้องดากลับเป็นเด็กชอบดูดนมแม่ กินง่ายเลี้ยงง่ายกว่าน้องธิ แต่ต้องยอมรับเลยว่าเหนื่อยมากๆ ยิ่งลูกสองคนยิ่งเหนื่อยเป็นสองเท่า แต่ขณะเดียวกันความสุขก็ได้กลับมาเป็นสองเท่าเช่นกัน การมีลูกทำให้เรารู้ซึ้งกับคำว่า "แม่" นั้นมีความหมายยิ่งใหญ่มาก รับรู้ถึงความยากลำบากที่ต้องเสียสละได้ทุกอย่างเพื่อลูก” คุณแม่มือใหม่เผยจากใจ

 จากคุณแม่ลูกแฝดมาต่อกันที่คุณแม่ยังสาวอย่าง “แพรว” ดาริกา เทิดวงส์ ของสองลูกน้อยวัยกำลังซน “น้องพิพ” ธรณ์ธันย์ วัย 3 ขวบกว่า และ “น้องเพพพิน” วัย 5 เดือน ปกติเธอจะฝากไว้กับพี่เลี้ยง แต่จะโทรศัพท์คุยกับลูกๆ ตลอด จึงไม่มีเวลาไหนที่รู้สึกว่าห่างลูก และสิ่งสำคัญที่เธอใส่ใจคือต้องไม่เครียด แต่ก็ยอมรับว่าช่วงนี้เหนื่อยมาก เพราะต้องทำงานและดูแลลูกในเวลาเดียวกัน

 "น้องพิพเข้าโรงเรียนตั้งแต่ 2 ขวบแล้ว เขาชอบไปโรงเรียน ชอบอยู่กับเพื่อนๆ แต่บางครั้งก็ดื้อไม่ฟังใคร แสดงออกชัดเจนมาก ต่างจากน้องเพพพินที่เลี้ยงง่ายกว่าจะออกแนวหญิงๆ หน่อย เวลาร้องกินนมก็จะร้องดังวี้ด เลยไม่ห่วงอะไรมาก ปล่อยให้เขาเติบโตตามวัย แต่น้องพิพถึงบางครั้งเขาจะดื้อบ้าง แต่ก็เป็นเด็กเก่งสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ดี มีปฏิภาณไหวพริบ เราก็ค่อนข้างสบายใจ แต่ความหวังของพ่อแม่ก็คือ อยากให้เขาตั้งใจเรียน เป็นเด็กฉลาดสมวัย มีความคิดดี และต้องมีเหตุผลในการพูดคุยด้วย แพรวเชื่อว่าการเลี้ยงดู พื้นฐานของครอบครัวที่มีความรักให้แก่กัน จะทำให้ลูกๆ ซึมซับสิ่งเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี และเราก็จะคอยประคับประคองเขาไปในทุกช่วงชีวิตแบบค่อยเป็นค่อยไป” คุณแม่ยังสาว เผยวิธีดูแลลูก

 คุณแม่ที่เลี้ยงดูลูกมาได้ระยะหนึ่งก็จะค้นพบแนวทางเฉพาะตัว สำหรับคุณแม่มือใหม่ถอดด้ามจริงๆ  "ดา" ภดารี สุชีวะ บุนนาค ซึ่งตอนนี้เธอกำลังประคบประหงมลูกสาวคนแรกวัยเพียง 3 เดือนเศษ "น้องเรไร" อณิสสา อย่างใกล้ชิดและทะนุถนอมตลอด 24 ชั่วโมง เธอเล่าวินาทีแรกที่ได้เห็นหน้าลูกสาวว่า ตื่นเต้น ตกใจ แต่ก็ตื้นตันใจจนน้ำตาไหล จากวันนั้นเธอก็บอกกับตัวเองเลยว่า จะเลี้ยงลูกสาวคนนี้ให้ดีที่สุด

 "เดือนแรกจะเหนื่อยมาก อาจเพราะเรายังปรับตัวไม่ได้ แต่พอเดือนต่อๆ มาก็ค่อยๆ ดีขึ้น พอหายเหนื่อยก็จะเป็นห่วงลูก เวลาออกมาข้างนอกก็อยากจะกลับบ้านไปหาลูกตลอด และถึงแม้จะมีพี่เลี้ยงคอยช่วย แต่ดาจะพยายามเลี้ยงเองให้ได้มากที่สุด ตอนนี้ดาก็เป็นคุณแม่เต็มตัวไม่ได้ทำงานอะไร เพราะอยากจะโฟกัสที่ลูกให้มากที่สุด แต่ดาจะให้ความสำคัญเรื่องพัฒนาการตามวัยของเขาเป็นหลัก จะเลี้ยงแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า" คุณแม่มือใหม่เล่า

 เพราะการเลี้ยงดูแบบเพื่อนระหว่าง ม.ร.ว.ภวรี สุชีวะ คุณแม่ของ "ดา" เป็นสิ่งที่ช่วยลดช่องว่างระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กมาโดยตลอด เธอจึงพยายามที่จะนำวิธีเลี้ยงเหล่านั้นมาใช้กับน้องเรไรด้วยเหมือนกัน เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกสบายใจ มั่นใจ ปลอดภัย และอบอุ่นใจทุกครั้งเมื่อได้อยู่กับครอบครัว

 "ดาว่าครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร จะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน ครอบครัวจะเป็นหลักให้แก่เราได้อย่างมั่นคงที่สุด ไม่ว่ายังไงดาจะให้ทุกอย่างกับครอบครัวก่อนเสมอ ดังนั้นเมื่อดามีครอบครัวของตัวเอง ก็อยากจะให้ลูกได้รับในสิ่งที่เราเคยได้และเคยให้แก่ครอบครัวด้วยเหมือนกัน" ดากล่าว

 วิธีการที่แตกต่างคงไม่ใช่สิ่งวัดคุณค่าความเป็นแม่ ทว่าเป้าหมายสูงสุดที่ไม่ว่าคุณแม่ยุคไหนต่างมีเหมือนกัน นั่นคือ การบำรุงฟูมฟักลูกน้อยให้เจริญวัยอย่างดีที่สุดเท่าที่สองมือและสมองของแม่จะทำได้