
เตือน!การระบาดของ"เพลี้ยไฟ"ในมังคุด
กรมส่งเสริมการเกษตรเตือนชาวสวนมังคุดในพื้นที่ภาคใต้ ระวังเพลี้ยไฟ ทำผลผลิตโตช้า แคระแกร็น ด้อยคุณภาพและไม่ได้ราคา
ตัวอ่อนเพลี้ยไฟ
นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ช่วงเป็นช่วงที่ต้นมังคุดทางภาคใต้กำลังออกผลผลิต ขอให้ระวังการระบาดของเพลี้ยไฟเข้าทำลาย โดยตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของเพลี้ยไฟจะดูดกินน้ำเลี้ยงที่ใบ ดอก ผลอ่อน ถ้าเพลี้ยไฟเข้าทำลายจะทำให้เกิดอาการยางไหลที่ผล ผลเจริญเติบโตช้า ผิวผลมีรอยขรุขระเป็นรอยกร้านและแคระแกร็น จะทำให้มังคุดไม่ได้คุณภาพจำหน่ายไม่ได้ราคา
สำหรับเพลี้ยไฟเป็นแมลงขนาดเล็ก ความยาวประมาณ 0.7-1.0 มิลลิเมตร ลำตัวมีสีเหลือง หรือสีน้ำตาลอ่อน เคลื่อนไหวรวดเร็ว ลักษณะและการทำลายของเพลี้ยไฟ ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อน ดอก และผล ทำให้ใบแคระแกร็น แห้ง และไหม้ ซึ่งมักจะระบาดในระยะแตกใบอ่อน ดอก และผลอ่อน จึงขอแนะนำวิธีการป้องกันกำจัด ดังนี้ ให้ใช้น้ำฉีดพ่นเพื่อปรับสภาพแวดล้อมไม่ให้เหมาะสมกับการเจริญของเพลี้ยไฟช่วยลดปริมาณเพลี้ยไฟลง
ตัวเต็มวัย
หากมังคุดที่อยู่ในระยะแทงช่อดอกให้สำรวจปริมาณเพลี้ยไฟอย่างสม่ำเสมอ โดยการสุ่มเคาะช่อดอกบนกระดาษขาวก่อนดอกบาน 1 สัปดาห์ ถ้าพบเพลี้ยไฟ 3 ตัว ต่อช่อ หรือมากกว่า 1 ตัวต่อดอก และหลังจากนั้นอีก 1 สัปดาห์ ถ้าพบปริมาณเพลี้ยไฟมากกว่า 1 ตัวต่อ 4 ช่อดอก ให้ทำการกำจัดโดยใช้สารเคมีตามคำแนะนำ คือฉีดพ่นอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือฟิโปรนิล 5% เอสซี อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือไซเพอร์เมทริน/โฟซาโลน 6.25%/22.5% อีซี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือคาร์โบซัลแฟน 20 % อีซี อัตรา 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร จากนั้นอีก 1 สัปดาห์ หากยังพบปริมาณเพลี้ยไฟเกิน 1 ตัวต่อยอด ต้องพ่นสารเคมีซ้ำอีกครั้ง