
กับดักกตัญญู
เงินทองต้องรู้ : กับดักกตัญญู : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล [email protected]
จริงๆ สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ “วันแม่” แต่เรื่องที่ตั้งใจจะเขียนถึงกลับเป็นเรื่องของ “พ่อ” เพราะยัง “อิน” กับละครลายหงส์ ที่ออกอากาศทางช่องจีเอ็มเอ็ม 25 และอำลาจอไปตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่แล้ว
“ลายหงส์” เป็นบทประพันธ์ของ “กฤษณา อโศกสิน” ที่ว่าด้วยชีวิตของ “หนึ่งหรัด” สาวสวยที่ใครๆ ก็หมายปอง เพราะเธอมีรูปลักษณ์งามสง่าเหมือนนางหงส์ตัวน้อยๆ เธอเป็นลูกสาวที่ “ชฎิล” พ่อม่ายหล่อเหลาเจ้าสำราญ ทะนุถนอมราวกับไข่ในหิน มีเพียง “ทศเทพ” ชายหนุ่มผู้เอาการเอางาน ลูกชายคนเดียวของคุณนายคำเทียบ เศรษฐินีที่ดินบ้านนอกเพียงคนเดียวที่สามารถผ่านด่านของ “ชฎิล” ไปได้ เพราะทรัพย์สินเงินทองและที่ดินของคุณนายคำเทียบนั้นมีอยู่มากมายเหลือเฟือ และความรักที่ทศเทพมีให้หนึ่งหรัด ทำให้ผู้เป็นพ่อมั่นใจว่า ผู้ชายคนนี้จะสามารถดูแลลูกสาวของเขาได้ตลอดชีวิต
จะเหลือก็แต่ “สองขวัญ” ลูกชายอีกคนของ “ชฎิล” ที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย ขี้เกียจร่ำเรียน และมีแต่เรื่องผู้หญิงให้ปวดหัว แต่ไม่ว่าลูกจะต้องการอะไร พ่อก็พร้อมจะให้ทุกอย่าง เพราะไม่อยากให้ลูกด้อยกว่าคนอื่น ถึงจะต้องขายทรัพย์สินที่มีอยู่เพื่อนำเงินมาใช้บ้าง พ่อก็ยอม
เรื่องราวดำเนินไปให้เห็นถึงการใช้ชีวิตที่ผิดพลาดของทั้ง “หนึ่งหรัด” และ “สองขวัญ” ด้วยคำสอนและแรงขับเคลื่อนแบบผิดๆ ของผู้เป็นพ่อ ในขณะที่ “หนึ่งหรัด” ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย มีรสนิยมในการใช้จ่ายขั้นสูงสุด โดยไม่ยอมทำงาน “ทศเทพ” ผู้เป็นสามีกลับต้องทำงานหนัก แบบที่แม่ของชายหนุ่มเคยพูดกับพ่อของหญิงสาวทำนองว่า “เป็นลูกบ้านนี้ต้องทำงาน อยากได้อะไรก็ต้องทำงาน” ทั้งแม่สามีและสามีพยายามผลักดัน “หนึ่งหรัด” ให้รู้จักทำงาน เริ่มจากกิจการของครอบครัว แต่ก็ไม่เป็นผล
จนหญิงสาวออกปากกับสามี อยากลงทุนเปิดสถานเสริมความงามแบบครบวงจร แน่นอนว่า “ทุน” ต้องมาจากแม่สามี ทั้ง “หนึ่งหรัด” และพ่อของเธอ พยายามหว่านล้อมคุณนายคำเทียบสารพัด แค่คำตอบก็คือ ถ้าจะลงทุนทำกิจการอะไร ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบ โดยเฉพาะพิจารณาความสามารถของตัวเอง “อยากจะปีนต้นไม้ แต่ถ้าปีนไม่เก่ง แล้วดันทุรังปีนขึ้นไปสูงๆ เวลาตกลงมา มันเจ็บหนัก” แน่นอนว่า เธอปฏิเสธการลงทุนหลัก 10 ล้านตามที่ลูกสะใภ้ร้องขอ
น่าเสียดายที่ทุกอย่างที่แม่สามีและสามีพร่ำเตือนพร่ำสอนทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ได้ทำให้ “หนึ่งหรัด” เรียนรู้อะไรเลย เพราะพ่อของเธอกรอกหูอยู่เสมอว่า “ไอ้พวกนี้มันขี้งก”
เช่นเดียวกับ “สองขวัญ” ตามประสาเด็กวัยรุ่นที่ความอยากมีอยากได้ มีอิทธิพลกับเขามาก จนวันหนึ่งเมื่อพ่อไม่สามารถหาในสิ่งที่เขาต้องการได้ เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจทำอะไรผิดพลาดมากมาย มีประโยคเสียดแทงใจพ่อในวันที่บ้านประสบวิกฤติว่า “ก็พ่อสอนเองไม่ใช่เหรอให้สองเป็นแบบนี้ สอนให้คบคนรวยๆ ให้ใช้ของแพงๆ ดีๆ”
และเหมือนตอนจบของเรื่อง ที่คุณนายคำเทียบ แม่ของ “ทศเทพ” พูดใส่หน้า “ชฎิล” ว่า น่าสงสารทั้งหนึ่งหรัดและสองขวัญ ที่มีพ่อแบบนี้ พ่อที่สอนให้ลูกอยู่สูงเกินฐานะ พ่อที่สอนให้ลูกจมไม่ลง ฟุ้งเฟ้อและฟุ่มเฟือย อยากได้ อยากมี จนไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ที่สำคัญ คือ สิ่งที่ลูกอยากได้และสิ่งที่อยากมีนั้น พ่อไม่เคยสอนให้ลูกทั้งสองคนลงมือทำ ลงมือเก็บหอมรอมริบ แต่กลับสอนให้ใช้ความสวยความงามที่เป็นเพียง “เปลือก” หยิบฉวยสิ่งที่อยากได้จากคนอื่น
ละครลาจอไปแล้ว แต่ชีวิตจริงยังดำเนินต่อไป กลับมานึกถึง “เรื่องจริง” ในรายการ “เรียลิตี้” หรือกึ่งๆ เรียลิตี้ หลายรายการที่เคยผ่านตา โดยเฉพาะรายการประกวดความสามารถโน่น นี่ นั่น (ที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด หลังจากประเทศไทยมีทีวีดิจิทัล) ในทุกๆ รายการจะต้องมีผู้เข้าประกวดจำนวนไม่มากก็น้อยที่มีเรื่อง “ดราม่า” ด้วยความหวังและความฝันว่า จะเอารางวัลที่ได้หลังจากชนะการประกวดไปจุนเจือครอบครัว ไปดูแลพ่อแม่ ซึ่งหากจะมองเรื่องความกตัญญูก็ต้องนับเป็นเรื่องงดงามของสังคมไทย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องมองในมุม “คุณภาพชีวิต ความยากจนและการติดกับดักรายได้” ที่ท้ายที่สุดแล้วอาจจะนำมาซึ่ง “กับดักกตัญญู”
แม้กระทั่งการประกวดสุดยอดนางแบบเอเชีย ซึ่งในรอบที่สาวไทยผ่านเข้าไปถึงรอบ 3 คนสุดท้ายเคียงข้างสาวสวยอีก 2 ชาติ เมื่อถามถึงแรงผลักดันในการเข้าประกวด บางคนต้องการทำตามความฝัน บางคนต้องการเอาชนะความกลัวหรือความไม่มั่นใจในตัวเอง แต่สาวไทยกลับเป็นคนเดียวที่ยอมรับว่า เธอเข้าประกวดและอยากชนะ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของครอบครัว เพราะครอบครัวของเธอนั้นยากจน
เคยฟัง ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย พูดไว้นานแล้วว่า ถ้าจะใช้เส้นแบ่งคำว่า “เศรษฐี” ก็ต้องยึดคำว่า “มิลเลียนแนร์” แบบฝรั่ง ซึ่งอาจตีความได้ว่า เศรษฐีต้องมี “เงินล้าน” หรือ “มิลเลียน” และพอเป็นแบบฝรั่ง คำว่า “เงินล้าน” จึงหมายถึงล้านดอลลาร์ ไม่ใช่ล้านบาท แปลว่า ถ้าจะนับเศรษฐีก็ต้องมีเงินล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 30-40 ล้านบาท
ลองเทียบเคียงจากข้อมูลตัวเลขเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ ที่รวบรวมโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นตัวเลขสิ้นสุดเดือนพฤษภาคม 2559 จะพบว่า สัดส่วนเงินฝากที่มากที่สุดถึง 68,159,538 บัญชี คิดเป็น 88.40% นั้นมีเงินฝากในแบงก์ต่ำกว่า 5 หมื่นบาท ส่วนที่เป็น “มิลเลียนแนร์” คือ เกินกว่า 25 ล้านบาทขึ้นไป มีเพียง 17,796 บัญชี ในจำนวนนี้แยกเป็นบัญชีที่มีเงินฝากระหว่าง 25-50 ล้านบาท จำนวน 9,441 บัญชี คิดเป็น 0.012% ของบัญชีเงินฝากทั้งหมด ส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท มีจำนวน 8,355 บัญชี คิดเป็นสัดส่วน 0.012%
ถ้าดูจากยอดเงินฝากอย่างเดียว ไม่ต้องดูทรัพย์สินอย่างอื่น หรือดูการลงทุนประกอบ (ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่า เงินบางส่วนอาจจะกระจายไปในการลงทุนประเภทต่างๆ) ก็คงต้องยอมรับความสอดคล้องระหว่าง “ดราม่า” ในรายการประกวดต่างๆ ที่สัมพันธ์กับตัวเลขในบัญชี ตอกย้ำด้วยมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่เพิ่งผ่านการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่สะท้อนว่า คนส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องเงินออม ซึ่งรากฐานของปัญหาก็มาจากรายได้ไม่พอกับรายจ่าย นำมาซึ่งปัญหาหนี้สินรุงรัง
แม้เรื่องของการดูแลพ่อแม่ จะเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามวัฒนธรรมอย่างไทยที่แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีของลูกที่มีต่อบุพการี แต่ “กตัญญู” แบบไม่ติดกับ ไม่เครียด ไม่กดดัน ย่อมเป็นการแทนคุณแบบที่พ่อแม่ก็มีความสุขและลูกก็มีความสุข แตกต่างแบบ “กตัญญู” ที่ต้องติดกับ ที่ลูกต้องเผชิญกับแรงกดดันให้หารายได้เพื่อให้พ่อแม่พ้นจากความแร้นแค้น
แต่จะเป็นแบบนั้นได้ “การเงินของบ้าน” ต้องพร้อม คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ต้องวางแผนเพื่อส่งต่อความมั่นคงทางการเงินให้แก่ลูก ซึ่งเคยเขียนเรื่องการบริหารจัดการเงินในครอบครัวไปแล้ว ว่าต้องเริ่มตั้งแต่การแยกบัญชีให้ชัดเจนอย่างน้อย 5 บัญชี คือ บัญชีใช้จ่ายส่วนตัว บัญชีใช้จ่ายของครอบครัว บัญชีสำรองฉุกเฉิน บัญชีลงทุนเพื่อวัยเกษียณ และบัญชีออมเงินเพื่อวัตถุประสงค์อื่น เช่น เพื่อการศึกษาของลูก หรือออมเพื่อซื้อรถ ซื้อบ้าน หรือเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัว ซึ่งระยะเวลาสั้นหรือยาวแตกต่างกัน แยกบัญชีแล้วก็ต้องมีวินัยกับการจัดการแต่ละบัญชี เพื่อสร้างฐานรากทางการเงินของครอบครัวให้เข้มแข็ง แล้วส่งต่ออนาคตที่ดีให้แก่ลูก
ให้เด็กๆ มีโอกาสตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่อย่างไม่ต้อง “ติดกับ” เพราะไม่ใช่เด็กทุกคนที่ใช้ความสามารถของตัวเองแสวงหารายได้เพื่อดูแลพ่อแม่ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ยังมีเด็กๆ อีกหลายคนที่ยอมเดินในเส้นทางที่ผิดพลาด เพื่อแลกกับโอกาสนั้น และวันไหนที่เขาตัดสินใจเลือกเส้นทางนั้น ความกตัญญูซึ่งเป็นเรื่องงดงาม จะกลายเป็น “ตราบาป” ของพ่อแม่ทันที