
โลกเปลี่ยน ชาวนาไทยต้องปรับ ทางรอดของเกษตรกรในอนาคต!
โดย - ดลมนัส กาเจ
ต้องยอมรับว่าปัจจุบันกระแสของโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งในด้านเทคโนโลยี วิทยาการสมัยใหม่ พฤติกรรมการบริโภคของมวลมนุษยชาติ รวมถึงการเปลี่ยนทางธรรมชาติด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผู้ที่อยู่ในแวดวงการเกษตรจำเป็นที่จะต้องปรับตัวด้วย
บนเวทีสัมมนา “โลกเปลี่ยนไว ชาวนาไทยต้องปรับ” จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และสถานีดิจิทัล NOW26 ร่วมกับกรมการข้าว และบริษัท สยาม คูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด ณ ห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ
มีผู้ทรงคุณวุฒิ และกูรูจากภาคส่วนในวงการเกษตรกรสะท้อนถึงแนวทางการอยู่รอดของเกษตรกรไทยในยุคการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจ ซึ่งทุกคนมองว่าการเกษตรของไทย โดยเฉพาะชาวนามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสมัยเพื่อลดต้นทุนการผลิต เพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิต และทดแทนแรงงานภาคเกษตรกรที่กำลังขาดแคลน
นายศักดิ์ชัย ศรีบุญซื่อ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผย มองว่าปัจจุบันพื้นที่การเพาะปลูกลดลงไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชากรในโลกที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นแนวโน้มการพัฒนาทางด้านการเกษตรจึงเป็นไปในทิศทางวิจัยพันธุ์ที่เพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น พัฒนารสชาติ รวมทั้งใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วยเนื่องจากแรงงานภาคการเกษตรปรับลดลง ส่วนใหญ่เป็นแรงงานสูงอายุ นอกจากนี้ภาคการเกษตรยังประสบปัญหาภัยธรรมชาติที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อภาคการเกษตรในปัจจุบัน
ฉะนั้น กระทรวงเกษตรฯ ต้องวางแผนการผลิตสินค้าเกษตรให้เพียงพอต่อความต้องการ เริ่มจากข้าวเป็นสินค้าแรกที่ต้องลดพื้นที่ปลูกในเขตไม่หมาะสม กำหนดให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดปีนี้จะต้องไม่เกิน 27.7 ล้านตัน ผลิตข้าวที่มีคุณภาพเท่านั้น แจ้งเตือนสภาพภูมิอากาศเพื่อใช้เตือนภัยเกษตรกรในการตัด สินใจวางแผนการผลิต แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมดแต่ก็บรรเทาความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติได้
สอดคล้องมุมมองของ รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ที่มองว่าการลดพื้นที่การปลูกข้าวเพื่อผลผลิตนั้นเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะลดจำนวนชาวนา เพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในภาวะวัฏจักรราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ไม่สามารถกำหนดราคาเองได้ ต้องอิงราคาในตลาดโลก
ต่างกับญี่ปุ่นที่สามารถกำกับราคาได้เอง การอิงราคาตลาดโลกไม่มีวันจะทำให้ราคาสูงกว่าราคาโลกได้ แต่ไทยผลิตได้มากกว่าที่ตลาดโลกต้องการและเป็นปัญหาของรัฐบาลต้องเข้ามาแก้ไข ฉะนั้นภาคการเกษตรต้องเปลี่ยนโครงสร้างเพราะผลิตภาพของไทยต่ำ
รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมารัฐบาลต้องเข้ามาอุดหนุนเยอะไป ทั้งการรับจำนำ การปล่อยสินเชื่อต่างๆ ซึ่งไม่สามารถเพิ่มผลิตภาพชาวนาไทยได้ ในขณะที่พลเมืองของเอเชียมีคนชั้นกลางมากขึ้น สังคมเข้าสู่ชราภาพ ไทยอยู่ในลำดับต้นๆ ที่เกษตรกรชราภาพมากขึ้น ตอนนี้ด้านเทคโนโลยี ด้านตลาดเปลี่ยน และภูมิอากาศก็เปลี่ยนไปแล้ว ต้องผลักดันให้ภาคการเกษตรต้องปรับตัวเปลี่ยนตามด้วย ต้องมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่จะทำให้เกษตรกรเข้าสู่การปฏิวัติเขียวครั้งที่ 2 คือเพิ่มการค้าระหว่างประเทศให้มากขึ้น แต่ปัญหาตามมาก็มีมาก อาทิ โรคพืช สัตว์ปนเปื้อน มาตรการกีดกันมีแนวโน้มมากขึ้นด้วย
“ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านการเกษตรพัฒนาไปไกลมากจากบริษัทข้ามชาติ แต่ไทยยังปิดกั้นงานวิจัยบางอย่าง โดยเฉพาะพืชจีเอ็มโอ ทำให้บริษัทข้ามชาติต้องเอาความรู้ไปรวมตัวเป็นครอฟไลท์เอเชีย เพื่อช่วยงานวิจัยในประเทศที่ยากจนยกเว้นประเทศไทย บริษัทเหล่านี้ต้องการนำความรู้มาสร้างรายได้เกษตรกรเพิ่มอีก 20% ซึ่งสุดท้ายแล้วไทยจะสู้ไม่ได้ ต่อไปเราต้องเพิ่มเทคโนโลยีด้านการเกษตรมากขึ้น คือต้องพัฒนา 2 ตัว คือ ไบโอเทคโนโลยีกับการใช้คอมพิวเตอร์ จะมีอิทธิพลต่อการผลิตภาคการเกษตร เกษตรกรต้องทำงานเชื่อมโยงกับตลาดให้ได้ นี่คือหัวใจในการปรับตัว" รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าว
ด้าน ดร.อภิชาติ พงษ์ศรีหดุลชัย อดีตอธิบดีกรมการข้าว ระบุว่า อนาคตชาวนาจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปรับตัว โดยเฉพาะการหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเกษตรที่แม่นย่ำ โดยเฉพาะการนำระบบเครื่องบอกตำแหน่งและพิกัดของพื้นที่เป้าหมาย หรือจีพีเอส เครื่องวัดระบบสารสนเทศทางภูมิ ศาสตร์เพื่อเก็บข้อมูลบอกตำแหน่งในพื้นที่กว้างสำหรับแปลงเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ หรือจีไอเอส ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ผ่านสัญญาณดาวเทียม รวมการใช้เครื่องบินไร้คนขับเพื่อเก็บข้อมูลเป็นต้น
นาแปลงใหญ่ตอบโจทย์ลดต้นทุน
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า ตามที่กระทรวงเกษตรฯ กำลังขับเคลื่อนการทำนาแปลงใหญ่เพื่อลดต้นทุนการผลิตและง่ายต่อการดูแล ที่รัฐบาลร่วมกับภาคเอกชนภายใต้โครงการประชารัฐ ในขณะนี้ถือว่าประสบผลสำเร็จระดับหนึ่งเกษตรกรให้ความสนใจและน่าจะเป็นแนวทางการพัฒนาที่ถูกต้องโดบบริษัทสยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด เข้ามาช่วยเหลือในด้านเทคโนโลยีการปลูกข้าวในญี่ปุ่นเข้าเป็นต้นแบบการเปลี่ยนรูปแบบการทำนา
ทั้งนี้ เนื่องจากการประสบปัญหาที่ผ่านมาคล้ายกันทั้งแรงงานน้อยลง เป็นแรงงานสูงอายุมากขึ้น การบริโภคข้าวในประเทศลดลง จึงต้องใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วย ขยายขนาดแปลงจนปัจจุบันมีการรวมกลุ่มตั้งบริษัทขึ้นมา สร้างอำนาจต่อรองและสร้างความเชื่อมั่นผลิตข้าวคุณภาพดีเพื่อส่งออกในตลาดบน ซึ่งรัฐบาลให้การสนับสนุนด้านเงินชดเชยและสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจำนวนมาก
ส่วน นายโอภาศ ธัญวารชร กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า การร่วมในโครงการประชารัฐก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งของภาคการเกษตรของไทยที่จะทำให้ลดต้นทุนได้ สยามคูโบต้าร่วมโครงการนี้ด้วย ปีนี้มีเป้าหมายทำแปลงใหญ่ใน 6 แปลง ซึ่งเริ่มไปแล้ว 3 แปลงใน จ.ศรีสะเกษ 2 แปลง และที่อุดร และอยู่ระหว่างดำเนินการ 3 แปลงใน จ.น่าน แพร่ และพิษณุโลก โดยจะขยายไปในพื้นที่อื่นๆ ในปีต่อไป เพราะสามารถตอบโจทย์ได้ว่าลดต้นทุนได้ระดับหนึ่ง
“สยามคูโบต้าเราจะเข้าไปแนะนำการใช้เครื่องจักร เกษตรกรสามารถเช่าซื้อได้เพื่อรวมกลุ่มกันใช้ สิ่งที่อยากเห็นคือเครื่องจักรที่ได้ไปแล้วต้องใช้ให้เต็มศักยภาพ จึงมีการส่งเสริมให้ปลูกพืชหลังนาด้วย พร้อมทั้งสร้างศูนย์เรียนรู้เรื่องการซ่อมบำรุงดูแลรักษา เบื้องต้น ตรงนี้เราถือว่าเป็นหัวใจสำคัญ” นายโอภาส กล่าว
ทั้งหมดนี้ คือบางส่วนของการเสนอแนะบนเวทีสัมมนาซึ่งสรุปได้ว่า การที่เกษตรกรโดยชาวนาต้องปรับตัวเองตามการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี จึงจะอยู่ได้ในอนาคต