
จากเอเธนส์ สู่ ริโอเกมส์
บันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์โอลิมปิกน่ารู้ จากโอลิมปิก ช่วงก่อนคริสตกาล กระโดดข้ามระยะเวลา 1,500 ปี มาสู่ โอลิมปิกยุคใหม่ "เอเธนส์ 1896"
กีฬาโอลิมปิกยุคโบราณ เริ่มขึ้นในช่วง 776 ปี ก่อนคริสตกาล ที่เมืองโอลิมเปีย ห่างจากเทือกเขาโอลิมปัสประมาณ 500 กิโลเมตร เพื่อเป็นการบูชาต่อเทพเจ้าซูส มหาเทพในความเชื่อของชาวกรีก และได้จัดขึ้นทุกๆ 4 ปี โดยไม่มีการเว้นว่าง แม้จะมีสงครามก็ตามที
โอลิมปิกยุคแรกผู้ชนะจะได้รับเกียรติยศสูงสุดแห่งตน โดยจะได้รับการยกย่องสรรเสริญ, รูปสลัก, อาหาร และที่พัก รวมทั้งสัญลักษณ์แห่งผู้ชนะเลิศ “มาลัยช่อมะกอก” แต่เพียงผู้เดียว ไม่มีอันดับ 2 หรือ 3 ทั้งสิ้น
การแข่งขันครั้งแรกมีการแข่งกีฬาเพียงอย่างเดียวคือวิ่ง 192 เมตร ครั้งนั้น โครอยบุส คนครัวแห่งเมืองเอลิส จารึกชื่อตัวเองว่าเป็นผู้ชนะโอลิมปิกคนแรก จากนั้นจึงเพิ่มการวิ่ง 400 เมตร ในช่วง 724 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นการวิ่งตามทางตรง 200 เมตร ก่อนวนกลับมาเข้าเส้นชัยที่จุดสตาร์ท กระทั่ง 708 ปี ก่อนคริสตกาล จึงมีการแข่งขันมวยปล้ำเพิ่มขึ้น
ในปลายที่ 700 ปีก่อนคริสตกาล โอลิมปิกได้เพิ่มกีฬาแข่งขันจนเป็นหลักของชนิดกีฬาในเวลาต่อมา ประกอบด้วย วิ่งแข่ง ขว้างจักร พุ่งแหลน กระโดดไกล มวยปล้ำ มวย แข่งรถศึก แข่งม้า และแพนเครชั่น (การต่อสู้ด้วยมือเปล่าผสมกันระหว่างมวยกับมวยปล้ำ)
จากนั้นมาถึงช่วง 500 ปี ก่อนคริสตกาล เนื่องจากจำนวนผู้เข้าแข่งมากขึ้น จึงเริ่มมีการคัดเลือกนักกีฬาจากแคว้นต่างๆ เพื่อเป็นตัวแทนเข้าแข่งขัน จากนั้นจะมีการคัดอีกครั้งก่อนลงแข่งขัน โอลิมปิกในยุคนี้คือกิจกรรมของเพศชายเท่านั้น หากผู้หญิงคนใดฝ่าฝืนเข้ามา ตามกฎจะโดนประหารด้วยการโยนลงจากหน้าผาทิมปายอง โชคดีที่ไม่มีผู้หญิงคนใดต้องรับโทษนี้ รวมไปถึง คัลลิปาทรา ซึ่งปลอมเป็นผู้ชายเข้าไปดูการแข่งขัน และเมื่อ ซิโดรอส ได้รับชัยชนะ นางไม่สามารถสะกดความดีใจไว้ได้ทำให้วิ่งข้ามรั้วเข้าไปในสนาม แต่ด้วยความที่บิดา พี่ชาย และบุตรของนาง ต่างเป็นแชมป์โอลิมปิก ทำให้นางถูกละเว้น แต่จากนั้นโอลิมปิกได้ออกกฎให้ผู้ที่จะเข้าไปดูการแข่งขันต้องเปลือยกายทั้งหมด
โอลิมปิกในช่วง 500 ปี ก่อนคริสตกาล ถูกเรียกว่ายุคคลาสสิก ของโอลิมปิกโบราณ การแข่งขันจะมีขึ้นเป็นเวลา 5 วัน โดยวันแรกจะเป็นการปฏิญาณตน รวมทั้งฉลองให้นักกีฬา และรถศึกจะเป็นการแข่งขันประเภทแรก จากนั้นเป็นการแข่งขันขี่ม้า ผู้ขี่จะต้องควบคุมม้าไปบนเส้นทางสูง-ต่ำ และขรุขระตลอดทาง ซึ่งผู้ที่ได้รับรางวัลไม่ใช่จ๊อกกี้ แต่เป็นเจ้าของม้าดังกล่าว
วันสอง จะเป็นการแข่งปัญจกีฬา ประกอบด้วย กระโดดไกล พุ่งแหลน ขว้างจักร วิ่ง และมวยปล้ำ วันที่สาม จะเป็นการแข่งขันระดับเยาวชน อายุระหว่าง 12-17 ปี วันที่สี่ เป็นการแข่งขันวิ่งในประเภท 200, 400 และ 4,800 เมตร สำหรับวันสุดท้ายจะเป็นการแข่งขันต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นมวยปล้ำ มวย และแพนเครชั่น
โอลิมปิกดำเนินการแข่งขันในรูปแบบนี้ต่อมาจนถึง ค.ศ.67 กระทั่งอาณาจักรกรีซตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรโรมัน รวมทั้งจักรพรรดิเนโร ได้ทรงเปลี่ยนแปลงกฎการแข่งขัน โดยประกาศให้พระองค์เองเป็นผู้ชนะในการแข่งขันรถม้าศึก จนพระองค์ตกจากม้าศึกทำให้การแข่งขันดังกล่าวโดนลบจากโอลิมปิก
จนค.ศ.324 อาณาจักรโรมันล่มสลายลงด้วยน้ำมือของพวกคริสเตียน จากนั้นในค.ศ.394 โอลิมปิกถูกสั่งห้ามแข่ง นอกจากนั้นในค.ศ.522 กับค.ศ.551 ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทำลายสิ่งปลูกสร้างและประวัติศาสตร์โอลิมปิกที่เดินทางมายาวนาน 1,200 ปีลงไปอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งผ่านถึงศตวรรษที่ 14 แกร์ฮาร์ด เคอร์ทุส นักโบราณคดีชาวเยอรมัน นำวิญญาณแห่งโอลิมปิกกลับมาสู่พื้นพิภพอีกครั้ง
หลังจากที่โอลิมปิกยุคโบราณถูกยกเลิกไป กีฬาโอลิมปิกถูกปล่อยร้างมากว่า 1,500 ปี จนกระทั่ง ปิแอร์ เดอ คูเบอร์แตง ชาวฝรั่งเศส (ภายหลังได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “บารอน”) มีความคิดที่จะรื้อฟื้นการแข่งขันของมวลมนุษยชาติขึ้นมาอีกครั้ง โดยเชิญตัวแทนจาก 12 ประเทศ หารือถึงความเป็นไปได้สำหรับการจัดกีฬาโอลิมปิกขึ้นมา
การประชุมดังกล่าวมีขึ้นในวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ.1894 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยครั้งแรกที่ประชุมเห็นว่าปารีส น่าจะเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกยุคใหม่ แต่ว่า กรีซ ที่เป็นต้นกำเนิดโอลิมปิก ขอรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพเป็นชาติแรก เพื่อรำลึกถึงโอลิมปิกยุคโบราณ ดังนั้นที่ประชุมจึงเห็นพ้องให้กรีซ เป็นเจ้าภาพเป็นชาติแรกใน ค.ศ.1896 และตกลงให้จัดทุก 4 ปี เหมือนกับโอลิมปิกยุคโบราณ
พร้อมกันนี้ยังมีการกำหนดคำขวัญของโอลิมปิกว่า "เร็วกว่า สูงกว่า แข็งแกร่งกว่า" รวมทั้งจัดทำตราโอลิมปิกเป็นรูปวงแหวน 5 สี ร้อยรวมกัน ประกอบด้วย น้ำเงิน เหลือง ดำ เขียว และแดง บนพื้นสีขาว ซึ่งแต่ละวงแหวนแทนที่ทวีปที่แตกต่างกัน
ดังนั้นใน ค.ศ.1896 การแข่งขันโอลิมปิกสมัยใหม่ครั้งแรกจึงได้อุบัติขึ้น โดยเริ่มแรกกรีซต้องการจะให้จัดขึ้นที่เมือง โอลิมเปีย แหล่งกำเนิดของโอลิมปิก แต่สุดท้ายต้องเปลี่ยนมาที่ กรุงเอเธนส์ เนื่องจากโอลิมเปียอยู่ไกลเกินไปและรกร้างอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามในช่วงนั้น กรีซมีปัญหาอย่างหนักในเรื่องการเงิน แต่ยังดีที่มกุฎราชกุมารคอนสแตนติน แห่งกรีซ เข้ารับเป็นองค์ประธานจัดการแข่งขัน รับดูแลเรื่องงบประมาณทั้งหมด
ในที่สุดพิธีเปิดการแข่งขันอย่างเป็นทางการก็มีขึ้นในวันที่ 6 เมษายน 1986 โดยมีคิงจอร์จที่ 1 แห่งกรีซ เป็นประธานการแข่งขัน ท่ามกลางสักขีพยานเต็มความจุของพานาเธน สเตเดี้ยม จำนวน 80,000 คน
ปฐมบทแห่งโอลิมปิกเกมส์ มีนักกีฬาเข้าแข่ง 241 คน (เป็นชายล้วน) จาก 14 ประเทศ ประกอบด้วย ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, บัลแกเรีย, ชิลี, เดนมาร์ก, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, กรีซ, อิตาลี, สหราชอาณาจักร, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, ฮังการี และสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมชิงชัย 43 เหรียญทองจาก 9 ชนิดกีฬา คือ กรีฑา (12), จักรยาน (6), ฟันดาบ (3), ยิมนาสติก (8), เทนนิส (2), ยิงปืน (5), ว่ายน้ำ (4), ยกน้ำหนัก (2) และมวยปล้ำ (1)
ขณะที่เรือพาย กับเรือใบ เดิมได้รับการบรรจุให้เข้าแข่งขันด้วย แต่ต้องถูกยกเลิกไปเนื่องจากสภาพอากาศเลวร้าย ขณะที่คริกเก็ต กับ โปโลน้ำ ถูกตัดออกไป
ในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ.1896 ก็มีจารึกว่า เจมส์ คอนนอลลี วัย 27 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ชาวอเมริกัน ที่ยอมละทิ้งการเรียน ก่อนดั้นด้นมาด้วยเรือเดินสมุทรและรถไฟ เป็นเวลานับเดือน จากบอสตันมาสู่เอเธนส์ กลายเป็นนักกีฬาคนแรกที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิก เมื่อคว้าชัยในประเภทเขย่งก้าวกระโดด และช่วยให้ทีมสหรัฐ คว้าเหรียญทองในกรีฑาไปถึง 9 จาก 12 รายการ พร้อมกับคว้าเจ้าเหรียญทองครั้งแรกไปได้ด้วยจำนวน 11 เหรียญทอง
สำหรับการว่ายน้ำ บรรดาฉลามหนุ่มต้องชิงชัยกันในสภาพที่ย่ำแย่ ท่ามกลางคลื่นยักษ์ที่ราวกับจ้องจะเขมือบนักกีฬาทุกคนให้หายไปในท้องทะเล
แต่...ชัยชนะที่อยู่ในความทรงจำของชาวกรีก เกิดขึ้นในวันที่ 15 เมษายน ค.ศ.1896 คือการวิ่งมาราธอน อันเป็นรายการสุดท้ายที่ใช้เส้นทางเดียวกับตำนานของ ฟิดิปปิดีส ม้าเร็วที่วิ่งจากเมืองมาราธอน สู่เอเธนส์ โดยไม่หยุดเพื่อแจ้งข่าวชัยชนะ ก่อนจะสิ้นใจตายทันทีที่ส่งข่าวสำเร็จ เมื่อ สปิริดอน โลอูเอส ปอดเหล็กชาวกรีก วัย 25 ปี ทะยานเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 ทิ้งคู่แข่งถึง 7 นาที ท่ามกลางความปรีดาของชาวกรีก
กีฬาโอลิมปิกครั้งแรกจบลงด้วยความประทับใจ และปิแอร์ เดอ คูเบอร์แตง ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งกีฬาโอลิมปิกจนถึงทุกวันนี้