ข่าว

จุดปะทุฟื้น“พืชดัดแปลงพันธุกรรม”ทางรอดทางเลือกของเกษตรกร

จุดปะทุฟื้น“พืชดัดแปลงพันธุกรรม”ทางรอดทางเลือกของเกษตรกร

04 ก.ค. 2559

อีกครั้งที่กลุ่มผู้สนับสนุนให้ประเทศไทยมีการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพว่าด้วยการตัดแต่งพันธุวิศวกรรมพืช หรือพืชจีเอ็ม

                    อีกครั้งที่กลุ่มผู้สนับสนุนให้ประเทศไทยมีการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพว่าด้วยการตัดแต่งพันธุวิศวกรรมพืช หรือพืชจีเอ็ม ได้มีการทดลองในภาคสนาม ในนามของสมาพันธ์เกษตรปลอดภัยมั่นคงและยั่งยืนแห่งชาติ, ศูนย์ข้อมูลเทคโนโลยีชีวภาพและความปลอดภัยทางชีวภาพ ครอปไลฟ์ เอเชีย และสมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ ออกมาให้ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ เรื่อง พืชจีเอ็ม : พืชทางเลือกและทางรอดของเกษตรกรไทย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ณ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพฯ หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สั่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยกเลิกการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ความปลอดภัยทางชีวภาพและเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ พ.ศ. ....” หรือเรียกว่า “พ.ร.บ.จีเอ็มโอ” เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2558 โดยกลุ่มผู้สนับสนุนทั้งหมดนี้ให้เหตุผลว่า พืชจีเอ็ม ไม่ใช่เป็นแค่พืชทางเลือกเท่านั้น หากแต่เป็นพืชทางรอดของเกษตรกรไทยแห่งอนาคต

                  ศ.(พิเศษ) ดร.สุทัศน์ ศรีวัฒนพงศ์ ที่ปรึกษาสมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ ยกตัวอย่างความเป็นจริงที่ปรากฏ ณ วันนี้ ว่า จำนวนประชากรโลกยังเพิ่มขึ้นอย่างน่าตระหนก ประกอบกับภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละปี ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการผลิตพืชเพื่อใช้เป็นอาหาร หากถึงเวลาหนึ่ง อาหารจะมีเพียงพอหรือไม่ นั่นเป็นคำถามที่ทุกภาคส่วน ต้องช่วยกันแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักวิทยาศาสตร์จะต้องคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อใช้ในการเพิ่มผลผลิตบนทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ที่ต้องรักษาสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีชีวภาพว่าด้วยการตัดแต่งพันธุวิศวกรรม หรือพืชจีเอ็ม ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกด้วย

                   “พืชจีเอ็ม มีการอนุญาตให้ปลูกเชิงการค้า ตั้งแต่ปี 2539 จากพื้นที่ปลูก 10.6 ล้านไร่ เพิ่มเป็น 1,123 ล้านไร่ ในปี 2558 ใน 28 ประเทศทั่วโลก ซึ่งนับว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีการยอมรับได้เร็วที่สุดในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีไม่น้อยกว่า 50 ประเทศที่อนุญาตให้นำเข้าเพื่อใช้เป็นอาหาร อาหารสัตว์ และการแปรรูป ถึงเวลาที่ประเทศไทยควรเปิดโอกาสให้หน่วยงานรัฐ และสถาบันการศึกษาสามารถทดลองได้ในภาคสนาม” ศ.(พิเศษ) ดร.สุทัศน์ กล่าวและว่า ผลการศึกษาจำนวน 147 เรื่อง ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การปลูกพืชจีเอ็มจะช่วยลดการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงศัตรูได้ร้อยละ 37 ช่วยเพิ่มผลผลิตได้ร้อยละ 22 และช่วยเพิ่มกำไรให้แก่เกษตรกรร้อยละ 68 รวมทั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นสาเหตุของการเกิดสภาวะโลกร้อน และมีเกษตรกรประมาณ 18 ล้านคน ที่ได้รับประโยชน์ ในจำนวนนี้ร้อยละ 90 เป็นเกษตรกรที่ยากจนและมีทรัพยากรจำกัดในประเทศที่กำลังพัฒนา แต่ไม่ใช่เกษตรกรไทย

                     ด้าน รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นขึ้นมาได้ และนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายคือ เทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ หรือเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม ที่นำมาใช้ในการพัฒนาพันธุ์พืช เพื่อให้มีลักษณะที่ต้านทานต่อศัตรูพืช รวมทั้งเพื่อเพิ่มลักษณะทางคุณภาพหรือคุณค่าทางโภชนาการของผลผลิต พืชที่พัฒนาขึ้นมาได้นั้น เรียกขานกันว่า พืชจีเอ็มหรือพืชดัดแปลงพันธุกรรม โดยพืชจีเอ็มรุ่นแรกๆ พัฒนาเพื่อให้ต้านทานต่อศัตรูพืช รุ่นต่อมาเป็นพืชที่พัฒนาเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ และรุ่นล่าสุด เป็นพืชที่พัฒนาเพื่อแก้ปัญหาที่เป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ที่อนุญาตให้ปลูกเชิงการค้าได้แล้วในสหรัฐอเมริกา คือ ข้าวโพดจีเอ็มที่ทนแล้ง และในอินโดนีเซีย คือ อ้อยทนแล้ง

                      ด้าน นายวิชา ธิติประเสริฐ ผู้ซึ่งคลุกคลีอยู่ในวงการวิจัยและพัฒนาพืชจีเอ็ม ในฐานะอดีตผู้อำนวยการสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยยังไม่อนุญาตให้ปลูกพืชจีเอ็มเป็นการค้า ทำให้เกษตรกรไทยยังไม่ได้รับประโยชน์จากการปลูกพืชจีเอ็ม เนื่องจากมีกลุ่มต่อต้านการใช้ประโยชน์จากพืชจีเอ็ม จนนายกรัฐมนตรี ประกาศไม่ให้ ครม.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพ โดยอ้างว่ายังไม่ถึงเวลาอันควร ส่งผลให้เกษตรกรไทยหมดโอกาสในการเลือกใช้พืชจีเอ็ม หมดโอกาสที่จะปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น แต่ประเทศไทยอนุญาตให้นำเข้าเมล็ดข้าวโพดและถั่วเหลืองรวมทั้งกากถั่วเหลือง ที่มาจากการดัดแปลงพันธุกรรม เพื่อใช้เป็นอาหารคนและสัตว์ รวมทั้งแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์

                        สอดคล้องกับข้อมูลจาก นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ที่ระบุว่า ประเทศไทยต้องนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองเพื่อผลิตน้ำมัน อาหารสัตว์ และแปรรูปปีละ 2.56 ล้านตันเมล็ด และ 2.69 ล้านตันกากถั่วเหลือง เพื่อผลิตอาหารสัตว์

นับเป็นการเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของกลุ่มที่อยากให้ให้ประเทศไทยเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ในภาคเกษตร โดยเฉพาะการทดลองพืชจีเอ็มในภาคสนาม

 

เสียงสะท้อนให้ปัดฝุ่น พ.ร.บ.พืชจีเอ็มโอ 

                           ดร.นิพนธ์ เอี่ยมสุภาษิต สมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ ได้นำเสนอผลจากการลงพื้นที่พูดคุยกับเกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องใน 7 จังหวัดที่มีการเพาะปลูกพืชที่สำคัญ ของสมาพันธ์เกษตร ปลอดภัย มั่นคง ยั่งยืนแห่งชาติ เพื่อให้ (1) ความรู้ที่ถูกต้องบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับพืชจีเอ็ม (2) สร้างทางเลือกให้เกษตรกรในการเลือกใช้พืชจีเอ็ม และ (3) เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีนำร่าง พ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพ กลับขึ้นมาพิจารณาใหม่

                          พบว่า มีผู้เข้าร่วมพูดคุยทั้ง 7 ครั้ง เฉลี่ยร้อยละ 83.5 เป็นเกษตรกรจากจำนวนผู้เข้าร่วมทั้งหมด 1,041 คน ส่วนใหญ่เฉลี่ยร้อย 92.5 ของผู้เข้าร่วมมีความเห็นว่าการพูดคุยเช่นนี้มีประโยชน์ เนื่องจากได้ทราบถึงปัญหาจริงๆ ที่เกษตรกรได้รับ ได้รู้ถึงประโยชน์ของพืชจีเอ็มที่แท้จริง ได้รู้ว่าพืชจีเอ็มสามารถทำให้ลดต้นทุน ลดการใช้สารป้องกัน เพิ่มผลผลิต รวมทั้งทนแล้ง ซึ่งไม่ได้เลวร้ายดังที่เคยได้ยินมา

                           นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมเฉลี่ยร้อยละ 83.6 มีความเห็นว่า เพื่อให้เกษตรกรมีทางเลือกและทางรอดจากการทเพาะปลูกที่มีปัญหาซ้ำซากในปัจจุบัน จึงได้ร่วมกันเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีนำร่าง พ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพ กลับขึ้นมาพิจารณาใหม่ และประกาศใช้ ซึ่งจะสร้างความมั่นใจได้ว่า เกษตรกรจะได้ใช้พืชจีเอ็ม ที่จะช่วยให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน