
“แก้ว” อำลาชีวิตมวย นั่งโค้ชสร้างเลือดใหม่
“แก้ว พงษ์ประยูร” อดีตนักชกเหรียญเงินโอลิมปิก ประกาศอำลาชีวิตกำปั้น หลังตกรอบคัดโอลิมปิก เบนเข็มไปเป็นโค้ช ปั้นนักมวยสายเลือดใหม่ประดับทีมชาติ
ความเคลื่อนไหวทัพมวยสากลสมัครเล่นชายทีมชาติไทย หลังไม่สามารถคว้าโควตาตั๋วโอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่บราซิล มาเพิ่มเติมได้อีก จากนักชกทั้ง 4 คนที่ส่งไปแข่งขันรอบคัดเลือกริโอเกมส์ เลกสุดท้าย ณ กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน ประกอบด้วย รุ่นไลท์ฟลายเวท 49 กก. แก้ว พงษ์ประยูร อดีตเหรียญเงินลอนดอนเกมส์, รุ่นฟลายเวท 52 กก. “เจ้าแดง” ธเนศ องค์จันทร์ต๊ะ อดีตเหรียญทองแดงชิงแชมป์เอเชีย, รุ่นไลท์เวท 60 กก. “ซุปเปอร์แบงค์” ปชัญญะ หลงชิน ยอดมวยไทยค่าตัวเรือนแสน และรุ่นมิดเดิลเวท 75 กก. นิค เฟรสเซอ นักชกดาวรุ่งลูกครึ่งไทย-ฮอลแลนด์ ภายใต้การนำของ “ตลาดแขก” น.อ.ทวีวัฒน์ อิสลาม หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย โดยนักชกที่สร้างผลงานดีที่สุดผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายเป็น “เจ้าแดง” ธเนศ ก่อนจะพ่ายแพ้ เอิคห์ อามาร์ คาห์กู ชาวมองโกเลีย ไป 0-3 เสียง
ล่าสุด ในส่วนของ แก้ว พงษ์ประยูร ที่ตกรอบ 16 คนสุดท้าย เปิดเผยว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งใจฟิตซ้อมดูแลร่างกายเต็มที่ เพราะตั้งแต่ตัดสินใจมาเข้าแคมป์ทีมชาติอีกครั้ง ตามคำขอของผู้ใหญ่ในสมาคมที่ยังมองเห็นถึงศักยภาพของตัวเองว่า ในรุ่น 49 กก.ยังไม่มีใครมาทดแทน แถมยังมีโอกาสที่จะคว้าตั๋วไปลุยโอลิมปิก รอบสุดท้าย เป็นครั้งที่สองอีก ทำให้แอบคิดในใจเสมอว่า จะต้องไปสู่เป้าหมายความสำเร็จให้ได้ เนื่องจากเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของชีวิตแล้วในการรับใช้ชาติ แม้ว่า สภาพร่างกายจะไม่เหมือนเดิมก็ตามที แต่เมื่อเรามีจิตใจที่เข้มแข็งมันน่าจะไปได้ แต่เมื่อลงแข่งขันจริงๆ แล้วต้องยอมรับว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ กับประเภทกีฬาที่ใช้สายตาเป็นเกณฑ์ตัดสินให้คะแนน
“โดยเฉพาะในวันที่พ่ายแพ้ โซเฮียร์ เอล เบคคาลี จากโมร็อกโกนั้น ผมมองว่า การให้คะแนนของผู้ตัดสินมีปัญหาแน่นอน เพราะตลอดเกมทั้ง 3 ยกคิดว่าออกหมัดได้ดีและเล่นตามแผนที่โค้ชได้วางไว้ให้ อีกทั้งประสบการณ์และชั้นเชิงต่างๆ ของผมที่ผ่านเวทีระดับนี้มาแล้วมันไม่น่าจะแพ้เลย แต่ก็ต้องยอมรับในการตัดสิน และกลับหันมามองตัวเองว่า เวลานี้เราก็อายุไปถึง 36 ปีแล้ว มันถึงเวลาที่จะต้องแขวนนวมอย่างจริงจังเสียที พร้อมเบนเข็มไปเป็นผู้ฝึกสอนให้แก่ทีมมวยกองทัพภาคที่ 3 ต้นสังกัด หรือสตาฟฟ์โค้ชทีมชาติ เพื่อนำเอาความรู้และประสบการณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ไปถ่ายทอดให้แก่นักชกรุ่นน้องๆ หน้าใหม่ที่จะขึ้นมาทดแทนดีกว่า”
อดีตนักชกเหรียญเงินโอลิมปิก ยังกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามอยากให้ผู้บริหารสมาคมมีแนวทางนโยบายในการพัฒนานักชกหน้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการสร้างดาวรุ่งดวงใหม่เข้ามาทดแทนรุ่นพี่ที่กำลังโรยราไป หากเปรียบเทียบกับหลายชาติในแถบเดียวกันเขาเริ่มแซงหน้าเราไปแล้ว ดังนั้นทำอย่างไรจะเรียกความยิ่งใหญ่ในอดีตกลับคืนมาอีก ยิ่งในช่วงนี้สมาคมได้ “บิ๊กชาย” สมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต มานั่งเป็นประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิค ทำให้ขวัญและกำลังใจของนักชกดีขึ้นกว่าเดิม