
ชิมแปนซีมีที่นอนดีกว่าคน
เมื่อนักวานรวิทยาญี่ปุ่นไขความลับการออกแบบรังนอนของชิมแปนซี
แม้ลิงชิมแปนซีจะมีพันธุกรรมใกล้เคียงกับมนุษย์มากถึง 99% เรียกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้ชิดมนุษย์มากที่สุดในเชิงพันธุศาสตร์ แต่ความแตกต่างด้านพัฒนาการของสมอง และสภาพร่างกาย ทำให้ช่องว่างระหว่างมนุษยชาติกับลิงในแอฟริกาชนิดนี้ยังคงกว้างอยู่
มนุษย์มีพัฒนาการทางเทคโนโลยีพื้นฐานจนถึงเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก แต่ในบางเรื่อง มนุษย์ก็ยังต้องศึกษา เรียนรู้ และเลียนแบบผลงานของสัตว์ เพื่อนำมายกระดับคุณภาพชีวิตเช่นกัน
รวมไปถึงการศึกษาเรื่อง “ที่นอน” ของลิงชิมแปนซี ที่นักวานรวิทยา พบว่า ลิงชิมแปนซี มี “ความลับ” เกี่ยวกับการออกแบบรังนอนที่ทำให้เจ้าลิงหน้าสั้นขนยาวชนิดนี้ มีคุณภาพการนอนที่ดีกว่ามนุษย์ และเมื่อนำหลักการในการสร้างรังนอนของลิงชิมแปนซีมาประยุกต์ใช้ ในการสร้างที่นอนให้แก่คนและพบว่าที่นอนชนิดนี้ให้คุณภาพการนอนที่ดีกว่าจริงๆ
กว่า 2 ทศวรรษที่ โคอิชิโร ซัมมา นักวานรวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเกียวโต ใช้เวลาศึกษาพฤติกรรมลิงชิมแปนซีในป่าแอฟริกา และสังเกตสิ่งหนึ่งว่ารังนอนของวานรชนิดนี้ มีความพิเศษหลายประการ ตั้งแต่การเลือกที่สร้างรังนอนบนต้นไม้สูงจากพื้นราว 4 เมตร ที่เป็นจุดซึ่งต้นไม้มีขนาดใหญ่พอรองรับน้ำหนักตัวมันได้ ทั้งยังโอนเอนได้พอดีให้ความรู้สึกราวกับนอนเปลไกว ที่พิสูจน์กันแล้วว่า ทำให้เด็กเล็กๆ นอนหลับได้สนิท
อีกทั้งรูปแบบของรังนอนที่ได้รับการออกแบบให้โอบอุ้มร่างของชิมแปนซีได้พอดีตัว แม้ว่าลิงบางตัวจะมีแขนขาที่ยาวล้นรังนอน ก็ไม่เป็นปัญหา และการออกแบบรังนอนให้เป็นรูปไข่ผ่าซีกก็ช่วยให้กล้ามเนื้อของลิงผ่อนคลายได้ดีกว่าที่นอนแบบแบนๆ เรียบๆ ของมนุษย์มากกว่าหลายเท่า
ที่นายซัมมา แน่ใจเช่นนั้นเพราะเขาทดลองปีนขึ้นไปนอนในรังนอนชิมแปนซีในป่าบริเวณเทิือกเขามาฮาเล ประเทศแทนซาเนียมาแล้ว และพบว่ารังนอนรูปทรงที่เป็นธรรมชาติของชิมแปนซีโอบอุ้มสรีระได้ดีและทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายได้ดีมาก ทั้งยังทำให้ตนเองนอนหลับได้ดีด้วยเช่นกัน เขาบอกด้วยว่ารังนอนชิมแปนซีนั้น อยู่นอกเหนือคำนิยามที่ว่า “สบาย” ไปหลายเท่า
ดังนั้น ซัมมาจึงนำหลักการสร้างรังนอนของชิมแปนซีมาออกแบบที่นอนสำหรับมนุษย์ โดยร่วมมือกับ ชินอิชิ อิชิคาวะ นักออกแบบชาวญี่ปุ่นและบริษัท อิวาตะ ในกรุงโตเกียวสร้างที่นอนในลักษณะเดียวกันกับโครงสร้างรังนอนชิมแปนซีขึ้นมา โดยมีรูปทรงคล้ายไข่ผ่าครึ่ง กว้าง 1.2 เมตรยาว 1.6 เมตร ออกจำหน่าย ทั้งยังพัฒนาที่นอนสำหรับหน้าร้อนขึ้นมาด้วย เพราะจำได้ว่าในรังนอนของวานรที่ใกล้ชิดมนุษย์มากที่สุดนั้น เย็นสบายเพียงใด แม้จะตั้งอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีอากาศร้อนชื้นแบบป่าดงดิบในแทนซาเนีย
ซึ่งโอกาสในการประสบความสำเร็จของที่นอนเลียนแบบรังนอนชิมแปนซีในญี่ปุ่นนั้น มีอยู่ไม่น้อย เนื่องจากชาวญี่ปุ่นเป็นกลุ่มชนที่มีปัญหาเรื่องการนอนน้อยที่สุดในโลก ดังนั้น ที่นอนที่สบายที่สุดและสร้างความสดชื่นให้ได้มากที่สุดหลังจากใช้เวลาอันมีค่าในการนอนจึงเป็นเรื่องที่น่าลงทุนซื้ออยู่ไม่น้อย
จากการสำรวจของกองทุนการนอนแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา พบว่าชาวญี่ปุ่นที่ตอบแบบสอบถามกว่า 2 ใน 3 บอกว่าตนเองใช้เวลานอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืน ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 53% ในสหรัฐอเมริกา 39% ในสหราชอาณาจักร และ 30% ในแคนาดา บอกว่าตนเองนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงเช่นกัน ซึ่งกองทุนการนอนแห่งชาติประเมินว่าชาวญี่ปุ่นใช้เวลานอนเฉลี่ย 6 ชั่วโมง 22 นาที ในค่ำคืนวันทำงาน
และ 54% รู้สึกว่านอนหลับสบายทุกคืนหรือเกือบทุกคืน
ด้วยเหตุนี้เอง ที่นอนดีๆ แบบรังนอนของชิมแปนซีจึงมีโอกาสในการทำตลาดในญี่ปุ่นได้มากตามไปด้วย