
“อย่าให้ใครว่า คนมิตรผล ฟุ้งเฟ้อ”
‘กลุ่มมิตรผล’ ภาคีเครือข่ายอนาคตไทย ผลักดันพฤติกรรมไร้หนี้ให้พนักงานในองค์กร
กลุ่มมิตรผล หนึ่งในภาคีเครือข่ายอนาคตไทย ร่วมรณรงค์ “อย่าให้ใครว่าคนมิตรผลฟุ้งเฟ้อ” ชูประเด็นปรับทัศนคติและสร้างค่านิยม “ลดความฟุ้งเฟ้อ” หวังแก้ไขปัญหาภาระหนี้ให้แก่พนักงานกลุ่มมิตรผลอย่างเป็นระบบและให้เกิดความยั่งยืน ผ่านโครงการ “ปลอดหนี้ ชีวีมีสุข” เพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ช่วยเหลือพนักงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ตามหลัก “ชีวิตที่พอเพียง”
เครือข่ายอนาคตไทย เป็นการรวมตัวกันของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อร่วมดำเนินกิจกรรมรณรงค์ระดับประเทศ Thailand Campaign ภายใต้ชื่อ "อย่าให้ใครว่าไทย" มุ่งกระตุ้นให้คนไทยปรับเปลี่ยนทัศนคติลดเลิกพฤติกรรมเชิงลบ (โกง ฟุ้งเฟ้อ มักง่าย ขาดสติ ) โดย 6 องค์กรหลักผู้ริเริ่ม ได้แก่ มูลนิธิมั่นพัฒนา สำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี กรมประชาสัมพันธ์ สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและสภาหอการค้าไทย ปัจจุบันมีภาคีเครือข่ายรวม 105 องค์กร “กลุ่มมิตรผล” ถือเป็นอีกหนึ่งภาคีเข้มแข็งที่ร่วมขับเคลื่อนภารกิจเครือข่ายอนาคตไทย โดยมีการสร้างแคมเปญรณรงค์สำหรับกลุ่มพนักงานภายในองค์กรโดยใช้ชื่อว่า “อย่าให้ใครว่าคนมิตรผลฟุ้งเฟ้อ” เพื่อรณรงค์ให้พนักงานมีการใช้จ่ายที่เหมาะสม และลดภาระหนี้สินของพนักงาน
ที่มา “อย่าให้ใครว่าคนมิตรผลฟุ้งเฟ้อ”
คุณคมกริช นาคะลักษณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานองค์กรสัมพันธ์และบริหารองค์กรเพื่อความยั่งยืน กลุ่มมิตรผล กล่าวถึงที่มาของแคมเปญ “อย่าให้ใครว่าคนมิตรผลฟุ้งเฟ้อ” ว่ามีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่การพิจารณาเข้าร่วมเป็นเครือข่ายอนาคตไทย ด้วยเห็นว่า แคมเปญ “อย่าให้ใครว่าไทย” โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องความฟุ้งเฟ้อ มีความสอดคล้องเป็นอย่างยิ่งกับโครงการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนของกลุ่มมิตรผล ที่ดำเนินการอยู่แล้วตามพื้นที่โดยรอบโรงงานน้ำตาลมิตรผลจำนวน 9 ตำบล ใน 7 จังหวัด ได้แก่ เลย ชัยภูมิ สุพรรณบุรี สิงห์บุรี กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และขอนแก่น เพื่อพัฒนาให้คนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีใน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม สุขภาวะ และคุณธรรม จึงได้เริ่มนำเรื่องลดความฟุ้งเฟ้อเข้ามาขับเคลื่อนอย่างจริงจัง
“เราพบว่าในเชิงเศรษฐกิจของคนในชุมชนกว่า 90% ซื้อของกินทุกอย่างจากรถขายของและสินค้า ทั้งที่ชาวบ้านเองมีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง แต่ไม่ได้ปลูกพืชผักกินเอง ทำให้ชาวบ้านมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ เราจึงคิดจัดตั้งกลุ่มเพื่อลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ตลอดจนเพิ่มรายได้จากอาชีพเสริม เช่น ทำแปลงปลูกผักปลอดสารพิษ ทำปุ๋ยหมัก น้ำยาอเนกประสงค์ น้ำดื่มชุมชน รวมทั้งให้มีการจัดทำบัญชีครัวเรือน ซึ่งโครงการได้ช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่ม และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นไปได้มาก”
ความสำเร็จชุมชนยั่งยืน สู่ แคมเปญ “อย่าให้ใครว่าคนมิตรผล ฟุ้งเฟ้อ”
ภายหลังจากโครงการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน เพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ของชุมชน ประสบความสำเร็จด้วยดี ซึ่งเห็นผลอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม อย่างเช่นกรณีความสำเร็จของโครงการพัฒนาชุมชนพื้นที่ตำบลหนองใหญ่ อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ที่ได้ลงมือทำเกษตรแบบผสมผสานและหลุมพอเพียง พบว่า สมาชิกครัวเรือนอาสามีรายได้เพิ่มขึ้น 3 หมื่นบาท/ปี/ครัวเรือน รวมทั้งยังมีพืชผักเพียงพอต่อการบริโภคในครัวเรือนทำให้สมาชิกครัวเรือนอาสาลดค่าใช้จ่ายประจำวันลงได้ถึง 10%
นอกจากนั้น พืชผักสวนครัวที่เหลือจากการบริโภคในครัวเรือน ยังสามารถแบ่งไปขายในตลาดนัด สีเขียว ช่วยสร้างรายได้เสริมให้กับชาวบ้าน ช่วยลดหนี้สินลงได้ อีกทั้งยังมีการบริหารจัดการโครงการน้ำดื่มชุมชน ยกตัวอย่างเช่น บ้านดอนชาติ ต.หนองใหญ่ ช่วยลดรายจ่ายค่าน้ำดื่มเฉลี่ย 244 บาท/ครัวเรือน และทำให้สมาชิกครัวเรือนในชุมชนสามารถมีน้ำสะอาดดื่มอย่างเพียงพอเฉลี่ย 5 ลิตร/วัน/คน
จากความสำเร็จของโครงการดังกล่าวนี้เอง ทำให้คณะผู้บริหารหันกลับมาตั้งคำถามถึงปัญหาของคนภายในองค์กรเองที่ก็ต้องการความช่วยเหลือเช่นกัน บริษัทจึงเริ่มจากการสำรวจภาระหนี้สินของพนักงานในเครือทั้งหมดราว 5,000 คน พบว่า มีพนักงานถึง 600 คนที่เข้าข่ายมีหนี้สินเกินตัว มีรายได้ไม่พอรายจ่าย เนื่องจากการมีหนี้นอกระบบและหนี้บัตรเครดิตต่างๆ คิดเป็นมูลค่าหนี้กว่า 200 ล้านบาท ทีเดียว ด้วยเหตุนี้บริษัทจึงได้คิดกิจกรรม “ลดฟุ้งเฟ้อ” ผ่านโครงการ “ปลอดหนี้ ชีวีมีสุข” ขับเคลื่อนแคมเปญ “อย่าให้ใครว่าคนมิตรผลฟุ้งเฟ้อ” เพื่อรณรงค์ให้พนักงานมีการใช้จ่ายที่เหมาะสม ลดความฟุ้งเฟ้อ ซึ่งปัจจุบันมีพนักงานสมัครใจเข้าร่วมโครงการแล้วประมาณ 200-300 คน กว่า 100 ครัวเรือน
ส่วนวิธีการดำเนินโครงการปลอดหนี้ ชีวิตมีสุข คุณคมกริช กล่าวว่า บริษัทเริ่มจากการปรับทัศนคติให้ความรู้เรื่องการจัดการหนี้ก่อน เช่น การปลูกฝังความคิดเรื่องปลอดหนี้ชีวีมีสุข การบรรยายกลุ่มย่อยเรื่องชีวิตพอเพียง ส่วนการบริหารจัดการหนี้ มีการจัดที่ปรึกษาบริหารจัดการหนี้ อย่าง “โจ-มณฑานี ตันติสุข” ผู้ประกาศข่าวมากความสามารถ ที่ในอดีตมีปัญหาหนี้สินมากมายจากคนเกือบล้มละลาย ก้าวสู่แท่นผู้รู้หรือ “กูรู” ทางการเงิน มาสร้างแรงบันดาลใจ และความเข้าใจในแนวทางการพิชิตหนี้ให้แก่พนักงานทั้งกลุ่มวิกฤติและไม่วิกฤติ
จากนั้นจึงมา “พัฒนาคุณภาพชีวิต” พนักงานให้ดีขึ้นตามหลักการชีวิตที่พอเพียง โดยเน้น “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้” เช่น การลดรายจ่ายด้วยการจัดทำบัญชีครัวเรือน ส่งเสริมการออม ส่วนช่องทางเพิ่มรายได้ให้แก่พนักงานและครอบครัว เช่น ทำแปลงเกษตรปลูกผักปลอดสารพิษในพื้นที่โรงงาน การฝึกอาชีพ ตั้งชมรมแม่บ้าน จัดให้มีตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน เป็นต้น
ทั้งนี้ บริษัทยังได้มีการจัดตั้งกองทุนจากเงินรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายในการจำหน่ายน้ำมันจากปั้มน้ำมันที่บริษัทได้จัดไว้ให้สำหรับรถขนอ้อยในแต่ละโรงงาน เพื่อใช้เป็นงบประมาณในกิจกรรมของโครงการ รวมถึงปรับปรุงคุณภาพชีวิตของพนักงาน และปรับปรุงสภาพแวดล้อม มุมพักผ่อน โรงอาหาร บ้านพักพนักงาน ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ
“เราเริ่มโครงการปลอดหนี้ ชีวีมีสุข กับพนักงานที่สมัครใจเข้ามาหาเรา มีความกล้าเปิดเผยหนี้สิน และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงินของตัวเองและครอบครัว ตลอดจนการเข้าโปรแกรมสัญญาและสาบาน เพื่อปลดหนี้สินของครอบครัว และหาช่องทางสร้างรายได้เสริม”
คุณคมกริช นาคะลักษณ์ ยังกล่าวถึงเป้าหมายของโครงการว่า ณ ปัจจุบันในส่วนของพนักงานภายในองค์กรที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการได้มีการปลดหนี้ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายแล้วจำนวนหนึ่ง ซึ่งจะต้องเดินหน้าต่อไปให้ครอบคลุมทั่วถึง และสำหรับชุมชนรอบโรงงานของเรา เราต้องการขยายผลจาก 9 ตำบลให้เพิ่มเป็น 24 ตำบล เพื่อให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยมีรายได้เสริมเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องลดรายจ่ายลง โดยกลุ่มบริษัทจะเน้นให้ชุมชนสามารถบริหารจัดการได้ด้วยตนเอง ด้วยการสนับสนุนให้แต่ละชุมชนจัดตั้งคณะกรรมการชุมชนขึ้นมา เพื่อขับเคลื่อนชุมชนให้อยู่ได้อย่างยั่งยืน
“ผมเชื่อว่าการลดความฟุ้งเฟ้อ เป็นการเปลี่ยนวิธีคิดและวิถีชีวิตของคนเรา จึงต้องแก้ไขกันที่ตัวเราทุกคนก่อน ไม่ต้องรอใคร ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายใหม่ ไม่ฟุ่มเฟือย และหารายได้เสริม”
สุดท้าย คุณคมกริช อยากเชิญชวนองค์กรต่างๆให้เข้ามาร่วมเครือข่าย ว่า แคมเปญอย่าให้ใครว่าไทย เป็นการเตือนสติ สร้างจิตสำนึกว่า สังคมจะดีได้ต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน ถ้าอยากเห็นบ้านเมืองดีขึ้น ก็ไม่ต้องรอใคร แต่ให้ลุกขึ้นมาลงมือทำเลย หรือเข้ามาเป็นเครือข่ายร่วมกับ 105 องค์กรได้ เพื่อมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน และเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนอื่นต่อไป