
'มูฮัมหมัด อาลี' ผู้ยิ่งใหญ่บนสังเวียนเลือด-โลก
04 มิ.ย. 2559
'มูฮัมหมัด อาลี' ผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งบนสังเวียนเลือด-โลก
มูฮัมหมัด อาลี นักชกอดีตแชมป์โลกผู้ยิ่งใหญ่ได้อำลาโลกไปด้วยวัย 74 ปี หลังจากต้องต่อสู้กับโรคพาร์กินสัน มาอย่างยาวนาน เหลือเอาไว้เพียงความทรงจำ และตำนาน ซึ่งไม่เพียงแค่ความเก่งกาจบนสังเวียนผ้าใบ แต่ในสังคมโลก ก็ยังเป็นผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งด้วย
อาลี เกิดเมื่อ 17 มกราคม 1942 ที่หลุยส์วิลล์ รัฐเคนตักกี โดยมีชื่อว่า แคสเซียส มาร์เซลลัส เคลย์ จูเนียร์ เริ่มชกมวยสากลสมัครเล่น ก่อนได้เหรียญทองกีฬาโอลิมปิกเกมส์ รุ่นไลท์เฮฟวีเวท ในปี 1960 ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี จากนั้นหันมาชกอาชีพ โดยมี แองเจโล ดันดี ยอดเทรนเนอร์เป็นโค้ช
ดันดี เคยบอกว่า อาลีเป็นคนดื้อ เวลาให้ทำอะไรต้องหลอกล่อพอสมควร อย่างเช่นไม่ชอบดื่มน้ำส้ม ต้องบอกว่า แชมป์โลกผู้ยิ่งใหญ่หลายคนกินน้ำส้มทั้งนั้น อาลีจึงยอมดื่ม
หลังจากชกอาชีพ 19 ไฟท์ โดยไม่แพ้ใคร แล้วมีลีลาบนสังเวียนไม่เหมือนนักมวยรุ่นยักษ์ ด้วยการใช้ฟุตเวิร์ก เต้นวนไปรอบเวที พร้อมกับยิงหมัดแย็บเข้าใบหน้าคู่ต่อสู้ ก่อนจะต่อยหมัดขวาเป็นหมัดเผด็จศึก รวมทั้งการพูดที่ถือเป็นเสน่ห์ ที่สามารถขึ้นหน้าหนึ่งได้เป็นประจำจนนักข่าวของไทยรุ่นก่อนตั้งสมญาว่า “สิงห์จอมโว” จนได้ขึ้นแชมป์โลกจาก ซอนนี ลิสตัน ในปี 1964 ซึ่งตอนนั้นอายุแค่ 22 ปีกว่าๆ
ก่อนการชกไม่มีใครคิดว่า อาลีจะเอาชนะ ลิสตัน ผู้พิชิต ฟลอยด์ แพตเตอร์สัน ยอดนักมวยของโลก มีเพียงทีมของอาลีเท่านั้นที่คิด และวงพนันให้ลิสตัน เป็นต่อ 7-1 รวมทั้งนักข่าวทำนายว่า ลิสตัน จะชนะน็อก แต่กลายเป็น อาลีเอาชนะทีเคโอ คว้าแชมป์โลกมาครอง พร้อมกับประกาศว่า เขาคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด
แต่หลังจากได้แชมป์โลกไม่นานนัก อาลีก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม รวมทั้งเปลี่ยนชื่อ โดยให้เหตุผลว่าชื่อเดิมของเขาเป็นชื่อของทาส นอกจากนั้นเขายังเขย่าระเบียบสังคม เขาเคยขว้างเหรียญทองโอลิมปิกลงแม่น้ำโอไฮโอ หลังจากถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าภัตตาคารสำหรับคนผิวขาวเท่านั้น และชีวิตส่วนตัวที่มีสีสันยิ่งทำให้เขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของการเป็นคนดัง ทำให้การชกของเขามีมูลค่านับล้านดอลลาร์
อาลีป้องกันแชมป์มาได้เรื่อยๆ แต่โดนปลดออกจากตำแหน่งในปี 1967 หลังจากปฏิเสธที่จะเข้าเป็นทหาร เข้ารบในสงครามเวียดนาม ด้วยเหตุผลว่า เขาไม่ได้มีปัญหากับเวียดกง และเวียดกงก็ไม่เคยเรียกเขาว่า นิโกร ทำให้ถูกตัดสินว่าหนีหมายเรียก
หลังจากต่อสู้กับสิทธิของตัวเองจนได้กลับมาชกอีกครั้งในอีก 3 ปีต่อมา เขาต้องพ่ายแพ้ครั้งแรกเสียเข็มขัดบนเวทีในการชกกับ “สโมคกิง” โจ ฟราเซียร์ ในปี 1971 ด้วยการพ่ายคะแนนอย่างเป็นเอกฉันท์ ซึ่งมีข่าวหลังจากนั้นว่า อาลีกรามหักระหว่างการชก แต่กัดฟันต่อยจนครบยก ท่ามกลางความสะใจของแฟนมวยมากมายที่มองว่าเขาคือความเสื่อมเสียของชาติ ต่อมาศาลมีมติล้มคำพิพากษาคดีหนีหมายเรียกของอาลี
หลังจากทำฟอร์มกลับมา อาลีได้ชิงแชมป์โลกสมัยที่ 2 ด้วยการพบกับ จอร์จ โฟร์แมน ในปี 1974 โดยคุยโวว่า จะเป็นความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู แล้วก็น็อกโฟร์แมนในยก 8 ด้วยสไตล์การพลิ้วไปรอบเวที หลอกล่อให้โฟร์แมนต่อยจนหมดแรง
ซึ่งการชกครั้งนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้ จอห์นนี เวคลิน นักดนตรีชาวอังกฤษแต่งเพลง Black Superman โดยใช้วลีเด็ดของเขาอย่าง ล่องลอยเหมือนผีเสื้อ และต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง รวมทั้ง catch me if you can เอาไว้ในบทเพลง
ในปี 1978 อาลีเสียตำแหน่งให้ ลีออน สปิงส์ แต่ก็แก้มือคว้าแชมป์กลับคืนมาได้ ทำให้เขาเป็นแชมป์โลกรุ่นยักษ์ 3 สมัยคนแรก ก่อนแพ้ ลาร์รี โฮล์ม อดีตคู่ซ้อม เสียแชมป์ในปี 1980 และปิดฉากชีวิตบนสังเวียนมวยด้วยการแพ้ เทรเวอร์ เบอร์บิค ในปีต่อมา
ความกล้าหาญ และความแกร่งของปลายคาง ทำให้อาลียืนหยัดอยู่บนสังเวียนอยู่ได้แม้เจอกับหมัดนับหมื่นหมัด จนเป็นสาเหตุของโรคพาร์กินสัน ที่รุมเร้าเขามานานหลายสิบปี แต่เขาก็บอกว่า ปัญหาทางร่างกายที่ได้รับ คุ้มค่ากับความสำเร็จในชีวิต คนที่ไม่มีความกล้ามากพอที่จะเสี่ยง ในชีวิตจะไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งใดเลย
ความสำเร็จในชีวิตในช่วงหลัง มาจากนอกสังเวียน เมื่อเขาช่วยเหลืองานสังคมมากมาย เท่ากับเป็นการเปิดหน้าต่างของชาวอเมริกันผิวดำออกสู่โลก ได้ทำให้ผู้คนทั่วโลก ผู้คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง คนผิวสี ได้รู้จักกับความรู้สึกของความภาคภูมิใจ ร่วมต่อสู้กับปัญหาโดยไม่เอาปัญหาสุขภาพร่างกายมาเป็นอุปสรรค
สถานะระดับโลกของอาลีได้รับการยืนยัน เมื่อเขาได้รับเลือกให้เป็นคนจุดคบเพลิงกีฬาโอลิมปิกในปี 1996 ที่แอตแลนตา
ในปี 1981 เคยนำคณะเดินทางทางการทูต เยือนแอฟริกา 5 ประเทศในนามของประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ หรือในปี 2002 ปรากฏตัวในที่ประชุมสภาคองเกรส เรียกร้องให้เพิ่มงบวิจัยโรคพาร์กินสัน และในปีเดียวกัน ยังได้เดินทางไปยังอัฟกานิสถาน เพื่อรณรงค์ให้โลกเห็นถึงปัญหาต่างๆ ที่ประเทศบอบช้ำสงครามต้องเผชิญหลังการล่มสลายของระบอบตาลีบัน
ก่อนหน้าสงครามอ่าวเปอร์เซีย ช่วงปี 1990 อาลีเดินทางไปยังอิรัก พบปะกับประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน เพื่อพยายามส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค และได้เครดิตในฐานะผู้มีบทบาทช่วยให้ตัวประกันชาวอเมริกัน 15 คนได้รับอิสรภาพจากอิรักด้วย
ปี 2011 อาลีเป็นผู้นำชาวอเมริกันมุสลิมผู้มีชื่อเสียง เรียกร้องผู้นำอิหร่านปล่อยตัวนักปีนเขาชาวอเมริกันคู่หนึ่งที่ถูกควบคุมตัวใกล้ชายแดนอิรัก-อิหร่านเมื่อสองปีก่อนหน้านั้น
เมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา อาลีออกมาเรียกร้องรัฐบาลอิหร่านปล่อยตัว เจสัน เรเซน ผู้สื่อข่าววอชิงตันโพสต์ โดยอาลีกล่าวถึงนักข่าวรายนี้ว่า เป็นบุคคลแห่งสันติภาพและมีศรัทธายิ่งใหญ่ ใช้พรสวรรค์ด้านการเขียนและความรอบรู้เกี่ยวกับอิหร่าน แบ่งปันเรื่องราวของผู้คนและวัฒนธรรมอิหร่านสู่สายตาชาวโลก
อาลีตอบโต้วาทกรรมเกลียดกลัวอิสลาม ที่นำมาใช้เป็นประเด็นหาเสียงในศึกชิงเป็นตัวแทนพรรคลงสมัครประธานาธิบดี โดยไม่ได้เอ่ยชื่อใคร แต่จากชื่อหัวแถลงการณ์เผยแพร่ทางเอ็นบีซีนิวส์ว่า “ผู้สมัครประธานาธิบดีเสนอห้ามมุสลิมเข้าสหรัฐ” คงจะหมายถึงใครอื่นไม่ได้นอกจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ขึ้นแท่นเป็นว่าที่ตัวแทนรีพับลิกันแล้วในเวลานี้
แถลงการณ์ระบุว่า "ผมเป็นมุสลิม และอิสลามไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ในกรุงปารีส ซานเบอร์นาร์ดีโน (เหตุการณ์ที่สองสามีภรรยากราดยิงสังหารหมู่ 14 ศพในแคลิฟอร์เนียเมื่อปลายปีที่แล้ว) หรือที่อื่นใดในโลก มุสลิมที่แท้รู้ว่าความรุนแรงโหดเหี้ยมของคนที่ถูกเรียกว่า "อิสลามิก ญีฮาด" ขัดกับทุกหลักคำสอนศาสนาของเรา
ในฐานะมุสลิม ต้องลุกขึ้นขัดขวางผู้ที่ใช้อิสลามเพื่อเป้าหมายของพวกเขาเอง คนเหล่านั้นทำให้คนจำนวนมากเหินห่างจากการศึกษาอิสลาม มุสลิมที่แท้รู้ หรือควรรู้ว่าการพยายามและบังคับให้ผู้อื่นผู้ใดรับอิสลามเป็นการกระทำที่ขัดหลักศาสนา ผมเชื่อว่าผู้นำทางการเมืองของเราควรใช้ตำแหน่ง สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม และทำให้เกิดความชัดเจนว่าฆาตกรที่ถูกชักนำผิดๆ เหล่านั้น บิดเบือนทัศนคติของผู้คนว่าอิสลามแท้จริงคืออะไร"
แถลงการณ์ อาลี มีขึ้นหลังจากไม่กี่วันก่อนหน้านั้น ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ปราศรัยทางโทรทัศน์ เรียกร้องชาวอเมริกันปฏิเสธการแบ่งแยกท่ามกลางภัยคุกคามของกลุ่มไอเอส โดยโอบามากล่าวว่า ชาวอเมริกันมุสลิมเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงานและฮีโร่นักกีฬาของเรา แต่โดนัลด์ ทรัมป์ กลับเย้ยถ้อยแถลงของโอบามาว่า กีฬาอะไรที่โอบามาพูดถึง ใครกันที่เป็นมุสลิมและเป็นฮีโร่กีฬาของสหรัฐ และก่อนหน้านั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ยังเสนอนโยบายห้ามชาวมุสลิมทั้งหมดเข้าสหรัฐเป็นการชั่วคราวหลังเกิดเหตุสังหารหมู่ในปารีส และที่ซานเบอร์นาร์ดีโนด้วย อย่างไรก็ดี เมื่อทราบข่าวการเสียชีวิตของอาลี โดนัลด์ ทรัมป์ ทวิตว่า มูฮัมหมัด อาลี เสียชีวิตแล้วในวัย 74! คนดีและแชมเปี้ยนผู้ยิ่งใหญ่แท้จริง ทุกคนจะคิดถึงเขา
ทั้งแสดงให้เห็นแล้วว่า มูฮัมหมัด อาลี ไม่ได้ยิ่งใหญ่แต่บนเวทีมวยเท่านั้น แต่เขาคือผู้ยิ่งใหญ่ของโลกเช่นกัน