ข่าว

ระเบิดนิวเคลียร์ฮิโรชิมากับข้อถกเถียง 71 ปี

ระเบิดนิวเคลียร์ฮิโรชิมากับข้อถกเถียง 71 ปี

27 พ.ค. 2559

'โอบามา' เยือนญี่ปุ่นตอกย้ำโลกควรปลอดจากอาวุธนิวเคลียร์

 
                    การเยือนเมืองฮิโรชิมาครั้งประวัติศาสตร์ของประธานาธิบดีบารัก โอมาบา ในวันศุกร์ (27 พ.ค.) ไม่ได้มาเพื่อขอโทษในสิ่งที่ผู้นำในอดีตตัดสินใจทำลงไป แต่ประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่มาเยือนฮิโรชิมาขณะอยู่ในตำแหน่ง ต้องการมาตอกย้ำว่าโลกใบนี้ควรปลอดจากอาวุธนิวเคลียร์อย่างสิ้นเชิง ถึงจะเป็นการมาเพื่อมองอนาคต แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่หวนมองโศกนาฏกรรมอันน่าสะพรึงกลัวที่สุดครั้งหนึ่งของมวลมนุษย์ 
 
                    ในเมื่อยังมีประเด็นถกเถียงกันอยู่หลัง 71 ปีผ่านมาว่า การทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกที่เมืองฮิโรชิมา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2488 และนางาซากิในอีก 3 วันถัดไปก่อนสงครามโลกครั้งที่สองปิดฉากลง มีความจำเป็นหรือไม่ การฆ่าล้างผู้คนเป็นเบือ ชอบธรรมตรงไหน 
 
                    ในอดีต นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน มักเชื่อไปในทางเดียวกับประธานาธิบดีแฮรี ทรูแมน ผู้นำสหรัฐเวลานั้นว่า ระเบิดนิวเคลียร์ช่วยให้สงครามยุติลงแต่เนิ่นๆ กับช่วยรักษาชีวิตทหารอเมริกันไว้ได้หลายพันหรืออาจจะหลักล้าน หากบุกภาคพื้นดิน แต่ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 นักประวัติศาสตร์สายลัทธิแก้บางส่วนในสหรัฐ เริ่มแย้งว่า สมรภูมิภาคพื้นดินน่าจะสูญเสียน้อยกว่ามาก แต่แรงจูงใจหลักและแท้จริงของทรูแมน ผู้นำสหรัฐเวลานั้น คือใช้ระเบิดนิวเคลียร์เพื่อสาธิตแสนยานุภาพสหรัฐต่ออดีตสหภาพโซเวียต ในช่วงเวลาที่สงครามเย็นได้เปิดฉากขึ้นแล้ว ประกอบกับหลายเดือนก่อนหน้า เป็นที่ประจักษ์ว่า อุตสาหกรรม เศรษฐกิจ และกองทัพญี่ปุ่น ย่ำแย่ลงมาก ผลศึกษาอย่างเป็นอิสระในสหรัฐได้ข้อสรุปว่าญี่ปุ่นจะยอมจำนนอยู่ดี ต่อให้ไม่ได้ทิ้งระเบิดก็ตาม    
 
                    ขณะผลสำรวจพบว่าชาวญี่ปุ่นและอเมริกันมีความเห็นไปคนละทาง 
 
 
ระเบิดนิวเคลียร์ฮิโรชิมากับข้อถกเถียง 71 ปี
 
 
                    ผลสำรวจโดยศูนย์วิจัยพิว ในวอชิงตัน เมื่อปีที่แล้ว พบว่า ชาวอเมริกัน 56% เชื่อว่าการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์มีความชอบธรรม แต่ชาวญี่ปุ่นที่เห็นตรงกันมีเพียง 14% 
 
                    อาคิระ ยามาดะ ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์สมัยใหม่ มหาวิทยาลัยเมจิ ในกรุงโตเกียว กล่าวว่า ชาวอเมริกันและญี่ปุ่นต่างก็ไม่อยากแตะข้อเท็จจริงที่ทำให้ตัวเองอึดอัดไม่สบายใจในการจดจำและเวลาถกเรื่องนี้ ยกตัวอย่าง ชาวญี่ปุ่นโดยมากมองข้ามอาชญากรรมสงครามที่กองทัพสมเด็จพระจักรพรรดิก่อขึ้นในระหว่างทำสงครามกับจีน และระหว่างสงครามแปซิฟิก กลับกัน ชาวอเมริกันก็ไม่อยากพูดถึงมุมมนุษยธรรมจากการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ และการโจมตีทางอากาศของสหรัฐแบบไม่เลือกเป้า ที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นที่มิได้เกี่ยวข้องกับการสู้รบเลย บาดเจ็บล้มตายทั่วประเทศ 
 
                    ผลศึกษาในสหรัฐประเมินว่า การโจมตีทางอากาศ 9 เดือน เป็นเหตุให้พลเรือนญี่ปุ่นเสียชีวิต 3.3 แสนคน บาดเจ็บอีกราว 5 แสน แต่นักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นให้ตัวเลขเหยื่อสูงกว่าที่ราว 6-7 แสน เฉพาะการโจมตีทางอากาศในโตเกียวเมื่อคืนวันที่ 10 มีนาคม 2488 มีผู้เสียชีวิตร่วมแสนคน อ้างอิงจากบันทึกการฌาปนกิจศพของทางการโตเกียว 
 
                    ศ.ยามาดะ กล่าวว่า การโจมตีพลเรือน ขัดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างแน่นอน และหนึ่งในกรณีร้ายแรงที่สุดก็คือการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ แต่ขณะเดียวกัน กองทัพญี่ปุ่นเองก็โจมตีทางอากาศขนานใหญ่ต่อเมืองต่างๆ ในจีน อย่างฉงชิ่ง ทางตะวันตกเฉียงใต้ และก่ออาชญากรรมสงครามมากมายเช่นกัน
 
 
ระเบิดนิวเคลียร์ฮิโรชิมากับข้อถกเถียง 71 ปี
 
 
                    สำหรับชาวอเมริกันจำนวนมาก โดยเฉพาะทหารผ่านศึกที่เคยรบกับญี่ปุ่น มองว่าสงครามแปซิฟิกเป็นสงครามที่ชอบธรรม หรือ good war เพราะสู้กับปีศาจฟาสซิสต์ อย่างนาซีเยอรมันและจักรวรรดิญี่ปุ่น 
 
                    ซาโตชิ ฟูจิตะ นักวิจัยมหาวิทยาลัยเมจิ ผู้ศึกษาแบบเรียนประวัติศาสตร์ใช้ในโรงเรียนมัธยมและวิทยาลัยในสหรัฐ ระบุว่า ด้วยเหตุนี้ ชาวอเมริกันจึงมักมองการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ว่าเพื่อรักษาชีวิตทหารอเมริกันไว้ 
 
                    แต่หลังกลางคริสต์ทศวรรษที่ 1990 มีแบบเรียนประวัติศาสตร์มากขึ้นที่กล่าวถึงข้อโต้แย้งเรื่องความชอบธรมในการใช้ระเบิดนิวเคลียร์กับญี่ปุ่น ซึ่งอาจสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยจากรุ่นสู่รุ่น ผลสำรวจหลายชิ้นสนับสนุนการตั้งข้อสังเกตของฟูจิตะ โดยในปี ค.ศ.1945 ผลสำรวจพบว่ามีชาวอเมริกัน 85% สนับสนุนการถล่มญี่ปุ่นด้วยระเบิดนิวเคลียร์ แต่ตัวเลขนี้ตกลงมาอยู่ที่ 63% ในปี 2534 และเหลือ 56% ในปี 2558 
 
                    กระนั้น สก็อต ซากัน นักรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มองต่างว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ อาจแค่สะท้อนถึงทัศนคติชาวอเมริกันต่อชาวญี่ปุ่นที่เปลี่ยนไปมากในยุคหลังสงคราม เพราะปัจจุบันเป็นเพื่อนและพันธมิตรใกล้ชิด แต่มุมมองการใช้อาวุธนิวเคลียร์อาจไม่ได้เปลี่ยนไป 
 
                    นักวิชาการท่านนี้และทีมงาน ขอให้ ยูกอฟ บริษัทวิจัย สำรวจตัวอย่างชาวอเมริกัน 620 คน โดยสมมุติสงครามเลียนแบบ หากสหรัฐถูกจู่โจมสายฟ้าแลบแบบญี่ปุ่นถล่มเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ปี 1945 แต่คราวนี้ ผู้ร้ายเป็นอิหร่าน ที่ถูกจับได้ว่าละเมิดข้อตกลงนิวเคลียร์เมื่อปี 2558  และโจมตีเรือบรรทุกเครื่องบิน คร่าชีวิตทหารอเมริกัน 2,403 คน ยอดสูญเสียเท่ากับการโจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์ 
 
 
ระเบิดนิวเคลียร์ฮิโรชิมากับข้อถกเถียง 71 ปี
 
 
                    ผลที่ได้น่าตกใจ  เพราะเมื่อให้เลือกสองทาง คือบุกโจมตีอิหร่านที่อาจทำให้ทหารอเมริกันเสียชีวิต 2 หมื่นคน กับหย่อนระเบิดนิวเคลียร์สักลูกในเมืองใหญ่สักแห่งใกล้กรุงเตหะราน คร่าชีวิตพลเรือนเรือนแสน ปรากฏว่า 59% หนุนให้ใช้ทางเลือกอย่างหลัง 
 
                    ผลสำรวจนี้บ่งว่า หากถูกยั่วยุ ชาวอเมริกันในวันนี้ก็อาจสนับสนุนให้ประธานาธิบดีใช้ระเบิดนิวเคลียร์ แทนที่จะยับยั้ง 
 
                    สำหรับการเยือนฮิโรชิมาของประธานาธิบดีโอบามา ในความเห็นของนักรัฐศาสตร์อเมริกัน มองว่า ไม่ควรโยนบาปกัน หรือใครควรขอโทษในเรื่องใด และแทนที่จะหมกมุ่นอยู่แต่ประวัติศาสตร์มากเกินไป ควรมองอนาคตและพยายามลดความเป็นไปได้ของสงครามนิวเคลียร์ กับตอกย้ำพันธสัญญาที่ว่า จะไม่มีการโจมตีพลเรือนในระหว่างสงครามอีก 
 
                    ด้าน สึโยชิ ฮาเสะกาวะ นักประวัติศาสตร์ชาวญี่ปุ่นชื่อดัง ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บารา เจ้าของหนังสือได้รับรางวัลปี 2548 ผู้เสนอทฤษฎีว่าไม่ใช่ระเบิดนิวเคลียร์ที่ช็อกผู้นำญี่ปุ่นจนยอมศิโรราบ และทำให้สงครามปิดฉากเร็วขึ้น แต่เป็นเพราะการเข้ามาร่วมสงครามโลกของสหภาพโซเวียต เห็นว่า การใช้ระเบิดมหาประลัย อย่างไรก็ผิดกฎหมายระหว่างประเทศและไร้มนุษยธรรม แต่ประธานาธิบดีโอบามาไม่ควรต้องขอโทษระหว่างเยือนฮิโรชิมา เพราะชาวญี่ปุ่นเอง ก็ยังไม่สามารถหาฉันทามติระดับชาติได้ในเรื่องพฤติกรรมก้าวร้าวในอดีต นักประวัติศาสตร์ท่านนี้กล่าวว่า ชาวญี่ปุ่นควรตั้งคำถามถึงความผิดรับชอบรัฐบาลของตัวเองก่อนว่า เหตุใดสงครามจึงยืดเยื้อ และเหตุใดจึงมีการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ ก่อนเรียกร้องคำขอโทษจากผู้นำอเมริกัน