ข่าว

‘เสนีย์ ปราโมช’ในความทรงจำของ‘ชวน หลีกภัย’

‘เสนีย์ ปราโมช’ในความทรงจำของ‘ชวน หลีกภัย’

27 พ.ค. 2559

‘เสนีย์ ปราโมช’ในความทรงจำของ‘ชวน หลีกภัย’ แบบอย่างของการยึดหลัก‘นิติธรรม’ : จักรวาล ส่าเหล่ทูรายงาน

           วันที่ 26 พฤษภาคม ของทุกปี ถือเป็นวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดของศาสตราจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย ผู้เป็นทั้งนักกฎหมาย อาจารย์มหาวิทยาลัย หนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยมาแล้ว

           ปีนี้ถือเป็นการครบรอบ 111 ปีของ ม.ร.ว.เสนีย์ ซึ่งทุกๆ ปีก็จะมีการกล่าวถึงประวัติการทำงานและคุณงามความดีของท่าน

           สำหรับปีนี้ อดีตนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย ผู้ที่เป็นทั้งลูกศิษย์และเคยร่วมงานกับ ม.ร.ว.เสนีย์ ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการกล่าวปาฐกถาพิเศษที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

           ในช่วงเริ่มต้น อดีตนายกฯ ชวน ได้เล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัว เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษานิติศาสตร์รั้วธรรมศาสตร์ ถึง ม.ร.ว.เสนีย์ ว่าเวลาที่ ม.ร.ว.เสนีย์ บรรยายในห้องเรียนนั้นฟังระรื่นหู แต่ฟังยากเพราะเสียงทุ้มต่ำ แต่ก็เป็นโชคดีของนักศึกษา เพราะท่านได้เขียนตำราไว้ให้เป็นคู่มือในการเรียน เป็นประโยชน์กับนักศึกษาที่ไม่มีเวลาฟังบรรยาย ซึ่งตำราเรียนกฎหมายในสมัยนั้นต้องถือว่าหายากมาก ซึ่ง ม.ร.วเสนีย์ ท่านเป็นครูที่มีความพร้อมในการสอนมากที่สุดคนหนึ่ง

           โดยจุดเด่นอีกเรื่องของอาจารย์ท่านนี้ ก็คือ หลังจากที่หมดชั่วโมงการสอนแล้ว ท่านจะอยู่ต่อเพื่อถกปัญหากับนักศึกษาจนหมดคำถามที่จะถาม ด้วยความที่ท่านไม่ถือตัวและเป็นกันเอง จึงทำให้ท่านเป็นที่รักของนักศึกษาที่เข้าเรียนวิชาของท่านอยู่เสมอ

           ใน “วิสัยทัศน์” ของ ม.ร.ว.เสนีย์ สิ่งหนึ่งที่ท่านเชื่อมั่นและยึดถือก็คือ การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยไม่มีข้อสงสัยหรือตำหนิติเตียน แม้ว่าการยึดถือตามหลักการนี้จะทำให้ท่านต้องเจอปัญหามากมายหรือผิดหวังกับพฤติกรรมบุคคลอยู่หลายครั้ง ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องตัวบุคคลไม่ใช่เรื่องของตัวระบบ

           “แต่ถ้าย้อนกลับไปดูชีวิตการเมืองของท่าน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล ท่านก็ยึดถือหลักการนี้ ยืนหยัดอธิบายเรื่องต่างๆ ในสภาตามวิถีีทางของนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้องแม้จะโดนคนอื่นวิจารณ์”

           แบบอย่างของการยึดถือ “หลักการ” ของ ม.ร.ว.เสนีย์..!!!

           อดีตนายกรัฐมนตรีเล่าต่อไปว่า ในช่วงของ “เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519” ขณะนั้นมีการชุมนุมประท้วงการเดินทางกลับประเทศของจอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งมีกระแสการกดดันของกลุ่มผู้ชุมนุม คือ การไล่จอมพลถนอม ออกนอกประเทศ

           แต่ ม.ร.ว.เสนีย์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีีในขณะนั้น ระบุว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติให้ทำได้ จึงไม่สามารถอพยพให้คนไทยออกนอกประเทศและไม่ได้ห้ามคนไทยที่หนีไปต่างประเทศกลับเข้ามา แม้จะเป็นอาชญากรก็ตาม โดยสิ่งที่ห้ามได้อย่างเดียวคือ ห้ามคนไทยไม่ให้ออกไปต่างประเทศได้เท่านั้น ถ้าวันนั้นม.ร.ว.เสนีย์ทำตามกระแสสังคมก็อาจจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นก็ได้ แต่ว่าท่านไม่ทำเพราะต้องยึดตามหลักรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องการยึด “หลักการ” แบบนี้ในปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

           “พูดได้ว่าบ้านเมืองเราจะมีปัญหาหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบสำคัญคือ ผู้บริหารบ้านเมืองได้ยึดหลักนิติธรรมหรือไม่ ซึ่งปัญหาการยึดอำนาจ 2 ครั้งที่ผ่านมาก็เกิดจากการที่ผู้บริหารไม่ยึดหลักนิติธรรมตามแนวทางตามระบอบประชาธิปไตย แม้จะมีที่มาจากระบอบนี้ก็ตามแต่ก็เดินออกนอกเส้นทางประชาธิปไตย แก้ปัญหาด้วยวิธีที่ไม่ใช่หลักนิติธรรม ซึ่งก็เป็นเงื่อนไขที่ทำให้บ้านเมืองมีปัญหาตลอดมา”

           ด้วยแนวทางการยึดหลักการเป็นที่มั่น ก็ได้ถ่ายทอดสู่นักการเมืองรุ่นต่อมา ไม่ว่าจะเป็นยุคของเขาหรือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต่างก็ยึดหลักการนี้ ซึ่งตอนที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีก็เคยพูดไว้ว่าทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งหลักการนี้ก็เป็นสิ่งที่น่ายึดถือไม่ว่าจะมีอาชีพอะไรก็ตาม

           หลักธรรมาภิบาลของการบริหารบ้านเมืองตามแบบ ม.ร.ว.เสนีย์...!!!

           ด้วยความเชื่อที่เรายึดถือจาก ม.ร.ว.เสนีย์ ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองภายใต้หลักธรรมาภิบาล 6 ข้อ ซึ่งเป็นหลักของสากล และหนึ่งในนั้นคือ “หลักนิติธรรม” ซึ่งเป็นหลักที่ ม.ร.ว.เสนีย์ยึดถือตลอดมา จนปัจจุบันนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าอย่างเหตุการณ์ในภาคใต้ที่มีความวุ่นวายก็เกิดจากการใช้วิธีการนอก "หลักนิติธรรม” เข้าแก้ปัญหา ซึ่งในเหตุระเบิดที่สถานีรถไฟหาดใหญ่เมื่อ 7 เมษายน 2544 นายกรัฐมนตรียุคนั้นมอบนโยบายว่า ภายใน 3 เดือนปัญหาภาคใต้จะหมดไป และนโยบายนั้นคือการฆ่าทิ้ง ด้วยความเชื่อง่ายๆ ว่า หมู่บ้านนี้มีโจร 1 คน ยิงทิ้งเสียบ้านเมืองก็จะสงบ จึงกลายเป็นที่มาของกลุ่มอาร์เคเคที่ก่อเหตุอยู่ทุกวันนี้ และไม่รู้ว่าปัญหาจะจบลงเมื่อใด และนี่ก็เป็นตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นจากการไม่เชื่อมั่น “หลักนิติธรรม” กลายเป็นว่าประชาธิปไตยเป็นแค่เส้นทางเข้าสู่อำนาจ เมื่อมีอำนาจแล้วก็เบนออกจากหลักประชาธิปไตย

           อย่างไรก็ดี เจ้าของฉายาใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง ยังกล่าวเสริมถึงหลักธรรมาภิบาลอีกข้อก็คือ การห้ามเกรงใจกัน ยกตัวอย่างเรื่องของวัดพระธรรมกายที่เคยมีประเด็นมาแล้วในขณะที่ตนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีปัญหาเรื่องการยักยอกทรัพย์ ซึ่งตนเคยพูดว่าเราต้องให้ความเป็นธรรมกับเขา อย่าไปแกล้ง โดยขณะนั้นลูกศิษย์ของวัดพระธรรมกายก็ชื่นชมตนมากๆ ว่าเป็นคนที่มีความยุติธรรม

           แต่ต่อมาผลสอบออกมาจนอัยการได้สั่งฟ้องพระธัมมชโย ทางศิษย์วัดก็ได้ขอเจรจาให้ตนไปสั่งการอัยการอย่าฟ้องคดีนี้ ตนก็บอกว่าสั่งห้ามเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่สามารถเปลี่ยนความเห็นของอัยการถ้าเขามีหลักฐานเพียงพอ จนในที่สุดลูกศิษย์ก็อาฆาต ซึ่งตนก็ถือว่าเราทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ดีที่ทุกฝ่ายควรจะชื่นชม แต่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เขาก็สั่งกันว่าไม่ให้เลือกคนในพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในที่สุดแล้วสืบพยานกันไปเกือบ 7 ปีเต็ม แต่อัยการก็ถอนฟ้องโดยอ้างว่าพระธัมมชโยคืนทรัพย์สินแล้ว นี่...ก็เป็นกระบวนการทางการเมืองที่เข้าไปแทรกจนอัยการเกรงใจฝ่ายการเมือง

           “ผมก็ย้ำว่า สิ่งที่ ม.ร.ว.เสนีย์ ได้ให้แนวเอาไว้ ท่านทั้งสอนและปฏิบัติให้เห็นเป็นตัวอย่างใน “หลักนิติธรรม” จึงเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่มองวิสัยทัศน์ของท่านว่า ท่านมองปัญหาของหลักการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย คือ การไม่ยึดตามหลักนิติธรรม”

           อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังเล่าให้ฟังอีกว่า ตอนที่ได้เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในปี พ.ศ.2534 ม.ร.ว.เสนีย์ก็ได้ให้กำลังใจและให้ข้อแนะนำ และการทำงานของเราได้ยึดตามแนวทางที่ท่านปฏิบัติและในขณะที่ตนเป็นรมว.กลาโหม ก็มีงบราชการลับแต่เมื่อใช้งบเสร็จแล้ว เหลือเท่าไหร่ตนก็คืนหมดเป็นจำนวนหลายล้านบาท

           "มีหลายคนถามผมว่าเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างไร ไม่ให้โดนปฏิวัติ ผมก็ตอบไปว่าผมไม่สร้างเงื่อนไข ยึดแนวของ ม.ร.ว.เสนีย์ สุจริต ซื่อตรง นอกจากไม่โกงแล้ว แม้สิ่งนั้นเป็นสิทธิ์ที่จะเอาได้ก็ไม่เอา ผมเชื่อมั่นว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ยึดมั่นใน “หลักนิติธรรม” นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และเป็นสิ่งที่คนไทยทั้งหลายจะต้องยึดมั่นอย่างนี้ต่อไปในวันข้างหน้า ซึ่งเราไม่รู้อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร”

           เป็นคำกล่าวทิ้งท้ายของอดีตนายกรัฐมนตรี “ชวน หลีกภัย” ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ถูกตั้งฉายาว่า “จอมหลักการ” ...!!!