
(ว่าที่) แม่บ้านเงินล้าน
02 พ.ค. 2559
เงินทองต้องรู้ : (ว่าที่) แม่บ้านเงินล้าน : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล [email protected]
สุดสัปดาห์ก่อนมีโอกาสบุกไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับหนุ่มสาวที่ทำงานในโรงงาน เป็นหนุ่มสาวที่อายุเฉลี่ยประมาณ 30 กลางๆ แต่ทุกคนอยู่ในระดับ “หัวหน้างาน” กันหมดแล้ว ต่างฝ่ายต่างแผนก ต่างวุฒิการศึกษาและต่างเงินเดือน มีตั้งแต่คนที่เรียนจบระดับ ม.3 ไปถึง ม.6 และบางคนก็จบปริญญาตรี ส่วนสนนเงินเดือนก็เริ่มตั้งแต่เกือบๆ 1 หมื่นบาทต่อเดือน ไปจนถึง 2 หมื่นบาทต่อเดือน
ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงในการพูดคุยเรื่องของการออมเงินและการจัดการกับปัญหาหนี้สิน บทสรุปของการตั้งวงคุยกับพนักงานราว 40-50 คน ก็คือ สำหรับคนที่ในแต่ละเดือนยังมีรายได้มากกว่ารายจ่าย คือ มีเงินเหลือ ก็ให้เปลี่ยนพฤติกรรมจากใช้ก่อนเก็บ เป็นเก็บก่อนใช้ เริ่มต้นเบาๆ จากหัก 10% ของเงินเดือนเข้าสู่บัญชีเงินออม ส่วนคนที่ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน รายได้เท่ากับรายจ่าย ไม่มีเงินเหลือเก็บ แต่ไม่ต้องกู้ ให้ลองทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลง หรือหารายได้เพิ่ม เพื่อสร้างสภาพทางการเงินใหม่ ให้ในแต่ละเดือนมีเงินเหลือให้ได้ก่อน
ขณะที่กลุ่มสุดท้ายที่อาการหนักสุด นั่นคือ มีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย ต้องกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อใช้จ่าย หลักคิดแรกคือ ต้องหยุดก่อหนี้ใหม่ แล้วหาทางจัดการกับปัญหาหนี้สินที่มีอยู่ กลุ่มนี้ต้องเข้มงวดกว่ากลุ่มที่ 2 เพราะจะต้องทำทั้ง 2 ทาง คือ ทั้งลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ แม้จะยาก แต่ก็ต้องพยายาม เมื่อปัญหาหนี้สินเบาบางลง ก็ต้องเริ่มสร้างวินัยทางการเงินใหม่ ต้องรู้จักออม ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นก่อนสิ่งที่ต้องการ และต้องพยายามอยู่ให้ต่ำกว่าฐานะ
เสียดายแค่ว่า ที่คุยกับหนุ่มสาวโรงงานในวันนั้น เน้นกับพวกเขาว่า “อย่าเพิ่งฝันถึงเงินแสนเงินล้าน เพราะมันอาจจะไกลเกินเอื้อม แค่จัดการกับวันนี้ให้พ้นจากภาวะเดือนชนเดือน หรือต้องกู้มากินมาใช้ก่อน” ที่เสียดาย ก็เพราะหลังจากนั้น ในระหว่างนั่งค้นคลิปสัมมนา-เสวนาเกี่ยวกับการลงทุน มีโอกาสฟังงานเสวนา “เคล็ด(ไม่)ลับลงทุนอย่างไรให้ได้ 100 ล้าน” ของ คุณประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ซึ่งตอนนั้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี แต่ปัจจุบันคุณประภาสดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุนของ บลจ.ทาลิส
ในงานเสวนาครั้งนั้น มีแขกรับเชิญพิเศษของคุณประภาสขึ้นมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วย เป็นสุภาพสตรีชื่อ “คุณพันธ์” มีอาชีพเป็นแม่บ้านอยู่ที่ บลจ.กรุงศรี เป็นคุณพันธุ์ที่คุณประภาสเรียกขานเธอว่า “ว่าที่แม่บ้านเงินล้าน” เพราะในขณะที่เธอทำงานเป็นแม่บ้าน เธอก็เป็นนักลงทุนผ่านกองทุนรวมด้วย
คุณพันธ์ เล่าว่า เธอทำงานเป็นแม่บ้านมา 8 ปีแล้ว (นับถึงปี 2557 ซึ่งเป็นปีที่จัดเสวนา-ถ้าถึงปัจจุบันนี้เธอก็น่าจะทำงานมาแล้วราว 10 ปี) จุดเริ่มต้นของการเป็นนักลงทุนเริ่มจากการทำงานในบริษัทจัดการกองทุน ที่ทุกครั้งเวลาทำความสะอาดสำนักงาน เธอมักจะเห็นกระดาษพอร์ตการลงทุนหรือการวางแผนการลงทุนวางทิ้งไว้เสมอ
“ลองไปหยิบมาอ่านดู ก็เห็นว่า มันดีนะ แล้วก็สงสัยว่า ทำไม (ลูกค้า) ถึงไม่เอาไป ทำไมถึงทิ้งไว้ ทีนี้หยิบมาดูบ่อยๆ ก็เห็นว่า มีการลงทุนตั้งแต่ 1 ปี 2 ปี จนถึง 20 ปี หรือ 40 ปี เราก็เริ่มคิดแล้วว่า ถ้าเราลองทำดูด้วยเงินที่เราพอจะทำได้ เราจะทำได้มั้ย”
คุณแม่บ้านพันธ์บอกว่า ที่ผ่านมาไม่เคยลงทุนเลย เพราะใช้จ่ายแต่ละเดือนก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ลงทุนเสี่ยงโชคทุกวันที่ 1 กับ 16 โดยเงินลงทุนเสี่ยงโชคจะอยู่ในราวเกือบๆ 1,000 บาทต่อเดือน ที่เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนกับรายได้ของเธอแล้ว ก็ต้องบอกว่า เยอะพอสมควร ที่สำคัญคือ ผลลัพธ์ออกแนว “เจ๊ง” มากกว่า
เธอเริ่มลงทุนครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2555 ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นที่ 1 หมื่นบาท ถึงตรงนี้คุณประภาสถามว่า “เงินก้อนแรก 1 หมื่นบาทมาจากไหน” คุณพันธ์ตอบว่า เป็นเงินฝากประจำที่เธอเจียดจากเงินเดือนเดือนละ 1,000 บาทไปฝากไว้ เพราะอยากมีเงินเก็บ ฝากได้ครบ 1 ปี เธอมีเงิน 12,000 บาท ก็เลยนำมาเป็นเงินลงทุนก้อนแรกจำนวน 1 หมื่นบาท
“กระดาษแผ่นนั้น มันจุดประกายในใจว่า เราจะทำแบบนี้ จะได้มั้ย ก็เริ่มไปคุยกับเจ้าหน้าที่ของ บลจ.ว่า อยากได้ลงทุนแบบนี้บ้าง แบบน้อยๆ ที่เราเริ่มเองได้ เขาก็ช่วยดูแลให้”
ตลอดเวลาเกือบ 2 ปีของการลงทุนผ่านกองทุนรวมเดือนละ 2,000 บาท ซึ่งเธอบอกว่า บางเดือนก็ลง 1 ครั้ง บางเดือนก็ลง 2 ครั้ง หรือบางเดือนก็ไม่ลง โดยเฉพาะช่วงที่ลูกๆ ทั้ง 3 คนใกล้เปิดเทอม ซึ่งเป็นช่วงที่มีภาระทางการเงินมากที่สุด จากวันนั้นเงินจำนวน 1 หมื่นบาทของเธองอกเงยเป็น 72,000 บาท (จนถึงปี 2557 และหากนับถึงปัจจุบัน เธอก็คงมีเงินแสนแล้วแน่ๆ)
เมื่อคุณประภาสถามเธอว่า “ลงทุนทำไม ลงทุนเพื่อใคร” ว่าที่แม่บ้านเงินล้าน บอกว่า อยากจะมีเงินออมไว้ยามเกษียณ เพราะคิดว่า ตัวเองอายุยังไม่มากเท่าไหร่ (ตอนนั้นเธออายุ 37 ปี) ถ้าเริ่มตั้งแต่วันนี้ อีก 20 ปี หรือ 15 ปี ก็อาจจะมีเงินล้านกับเขาได้บ้าง
ระหว่างที่นั่งคุยกันบนเวที โดยมีสักขีพยานเป็นผู้เข้าร่วมงานเสวนาราว 200 คน เจ้าหน้าที่ของกองทุนก็ลองกดโปรแกรมคำนวณว่า ถ้าคุณพันธ์ลงทุนเดือนละ 2,000 บาท อย่างสม่ำเสมอ จากเงินต้น ณ วันนั้นที่ 72,000 บาท ระยะเวลาการลงทุนจากอายุ 37 ปีถึง 55 ปี รวม 18 ปี ภายใต้ผลตอบแทนปีละประมาณ 12.5% เมื่อวันที่เธออายุ 55 ปี ซึ่งเธออยากเกษียณ เธอจะมีเงิน 2.3 ล้านบาท
แปลว่าเธอเป็นแม่บ้านเงินล้านได้แน่ๆ แต่ก็ใช่ว่าเงินจำนวน 2.3 ล้านบาท จะเพียงพอกับการใช้ชีวิตหลังเกษียณของเธอ เพราะเธอต้องกำหนดคุณภาพชีวิตหลังเกษียณว่า ต้องการใช้เงินเดือนละเท่าไหร่ตอนที่เธอไม่มีรายได้แล้ว และเธอจะมีชีวิตยืนยาวอีกกี่ปีหลังเกษียณ ซึ่งถ้าไม่พอ เธออาจจะต้องเพิ่มการลงทุน หรือยืดเวลาเกษียณเพื่อให้ระยะเวลาการทำงานเพื่อเก็บเงินยาวนานขึ้น
แต่ที่แน่นอนๆ ก็คือ ด้วยวิถีการลงทุนทีละเล็กละน้อยอย่างสม่ำเสมอ และเรียบง่าย ไม่หวือหวาแบบนี้ ก็ทำให้แม่บ้านประจำออฟฟิศที่มีรายได้แต่ละเดือนไม่ได้มากมาย มีโอกาสสัมผัสกับ “เงินล้าน” ได้แบบไม่ไกลเกินฝัน เธอยังเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เพื่อนร่วมอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน พนักงานรักษาความปลอดภัย หรือแม้แต่พนักงานรับส่งเอกสาร
เหมือนกับที่คุณประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ กล่าวปิดท้ายไว้ว่า “ทุกอาชีพ ทุกรายได้ สามารถค้นพบอิสรภาพทางการเงินได้ตามวิถีของตัวเอง” (คลิกชมเรื่องราวของคุณพันธ์ ว่าที่แม่บ้านเงินล้านได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=M336W6EcycQ)
------------------
(เงินทองต้องรู้ : (ว่าที่) แม่บ้านเงินล้าน : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล [email protected])