ข่าว

ฤาจะไปไม่ถึงประชามติ

ฤาจะไปไม่ถึงประชามติ

01 พ.ค. 2559

ฤาจะไปไม่ถึงประชามติ : คมวิเคราะห์การเมืองรอบสัปดาห์ โดยสำนักข่าวเนชั่น

             สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้บางคนเริ่มมองด้วยความหวาดหวั่นว่าอาจจะเป็นชนวนนำพาให้ประชามติร่างรัฐธรรมนูญไม่เกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีเคยพูดในทำนองว่าหากวุ่นวายนัก “ทำไม่ได้ก็ไม่ทำ”

             เมื่อต้นสัปดาห์ทหารเข้าจับกุมประชาชน 10 คน ซึ่งตอนแรกยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา แต่ต่อมาได้แจ้งข้อหาในความผิดที่ต่างๆ กัน แต่โดยมากมาจากเรื่องการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ พร้อมทั้งมีการเปิดเผยแผนผังการเชื่อมโยงของกลุ่มบุคคล ซึ่งต่อมาก็มีการตั้งชื่อเล่นไปต่างๆ นานา เช่น “ผังล้ม คสช.” “ผังล้ม รัฐบาล” หรือกระทั่ง “ผังล้มนายกฯ”

             โดยหัวขบวนแม้บอกว่าอยู่ต่างประเทศ แต่เมื่อชัดขนาดนี้ถึงไม่บอกก็รู้ว่าเป็นใคร  รวมทั้งมีความพยายามเชื่อมโยงกับกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้ง “จตุพร พรหมพันธุ์” หรือ “สมบัติ บุญงามอนงค์”

             การจับกุมครั้งนี้มีการยกกฎหมายหลายฉบับมาประกอบ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์   พ.ร.บ.ประชามติ  คำสั่ง คสช. แต่ที่น่าสนใจคือมีการยกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคง มาใช้เป็นเหตุผลด้วย โดยมาตราดังกล่าวระบุว่า

             "ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต

             (1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้าย

             (2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ

             (3) เพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี”  

             นอกจากนี้ในวันเดียวกัน กกต.ก็ได้ไปแจ้งความจับกุมผู้ที่ถูกระบุว่ากระทำความผิด พ.ร.บ.ประชามติ จากการโพสต์แสดงความไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีการอ้างว่ามีการใช้ถ้อยคำอันไม่เหมาะสม

             ซึ่งจากสองเหตุการณ์นี้เอง ทำให้สถานการณ์ลุกลามขึ้นเรื่อยๆ มีผู้ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมองว่าเรื่องเช่นนี้เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามปกติ โดยเฉพาะกับประชามติที่ดูเหมือนว่าจะถูกปิดกั้นการแสดงความเห็น แม้แต่การรณรงค์ก็ทำไม่ได้  ขณะที่การอธิบายความก็อาจถูกกล่าวหาว่าบิดเบือน ทั้งๆ ที่เรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของการตีความกฎหมายที่สามารถมองได้ต่างมุมต่างมอง
 
             ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวไหลบ่าตามมา ไม่ว่าจะเป็นการที่มีกลุ่มต่างๆ ออกมาเคลื่อนไหวแสดงสัญลักษณ์คัดค้านเช่น “กลุ่มพลเมืองโต้กลับ” ที่ออกมา “ยืนเฉยๆ” เป็นสัญลักษณ์ของการไม่เห็นด้วยที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ   และที่สุดก็มีคนถูกจับไปอีก 16 คน แต่นั่นมิใช่การแสดงออกครั้งสุดท้าย เพราะมีคนออกมาแสดงสัญลักษณ์ด้วยการ “ยืนเฉย” ตามสถานที่ต่างๆ และโพสต์ของอินเทอร์เน็ต
 
             นอกจากนี้ ยังมีการติดแฮชแท็ก ประชดประชันว่า “#ทวิตอย่างไรไม่ให้ถูกจับ”  เพื่อเป็นการแสดงความไม่เห็นด้วย และแต่ละคนก็ประชดได้อย่างแสบสันต์ แม้อ่านเผินๆ จะคล้ายการชม แต่ทุกคนก็รู้ว่าหมายถึงอะไรกันแน่  และที่แน่ๆ คนเข้ามาร่วมเล่นกันถล่มทลาย
 
              จากนั้นก็มีความเคลื่อนไหวจากกลุ่ม “หน้ากากขาว”  ที่เคยเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ได้จับมือกับกลุ่ม “ต่อต้านซิงเกิลเกตเวย์” แสดงพลังด้วยการระดมกด F5 กับเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐบาลจนเว็บไซต์ล่ม

             หากมองผิวเผินอาจเป็นเพียงความเคลื่อนไหวของคนในอินเทอร์เน็ตที่มักจะหลบตัวอยู่หลังคีย์บอร์ด แต่หากพิจารณาดีๆ จะเห็นความอัดอั้นจากกลุ่มคนต่างๆ ที่เรียกว่าเป็นหน่วยเล็กๆ ของสังคมที่กระจายตัวอยู่ทั่วไป ซึ่งไม่มีใครการันตีได้ว่าพวกเขาจะอยู่แค่แต่หลังจอตลอดไป

              เหล่านี้นี่เองที่ทำให้คนมองว่าวันหนึ่งถนนประชามติอาจเกิดความวุ่นวายและสุดท้ายก็นำไปสู่การไม่มีประชามติ

             แม้ช่วงหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีออกมายืนยันว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย  แต่เอาจริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรการันตีได้แม้แต่นิดเดียวว่าประชามติจะเกิดขึ้น ยิ่งโดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ถูกเร่งเร้า

             ว่ากันว่าผู้มีอำนาจบางคนเองก็ยังไม่อยากลงสู่ถนนเลือกตั้งในตอนนี้เพราะอ่านเกมออกว่าถึงวันนั้นเมื่อไหร่ก็พ่ายแพ้ต่อนักการเมืองอย่างแน่นอน และที่หนักกว่านั้นคือไม่รู้ว่าความพ่ายแพ้นั้นจะยับเยินขนาดไหน จึงยังอาจต้องการกติกา และความมั่นใจที่มากกว่านี้ในการลงสู่สนาม

             ขณะที่ฝ่ายต่อต้าน คสช.เองก็ไม่พอใจในรัฐธรรมนูญฉบับนี้และหวังจะใช้สถานการณ์เพื่อทำให้ร่างรัฐธรรมนูญและ คสช. หมดความชอบธรรม พร้อมๆ กับกดดันให้ คสช.คืนอำนาจและทำกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่มีส่วนร่วมจากประชาชนให้มากขึ้น

              อนาคตของประชามติจึงยังอยู่บนเส้นด้าย และอยู่บนความเปลี่ยนแปลงของ “สถานการณ์”

             ถามว่าถ้าไม่ต้องการให้มีประชามติสามารถทำได้หรือไม่  คำตอบนั้นง่ายแบบฟันธงเลยว่าทำได้

             แม้รัฐธรรมูญชั่วคราวจะระบุชัดว่าเมื่อร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วต้องมีการทำประชามติ และ กกต.ต้องกำหนดวันทำประชามติระหว่าง 90-120 วัน นับแต่ได้รับร่างสรุปย่อจากกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ คล้ายกับว่าไม่มีทางเลี่ยงที่จะไม่ปฏิบัติ

             แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อได้เปรียบของผู้มีอำนาจในปัจจุบันที่ไม่เคยมีในอดีตที่ผ่านมาคือ  การเขียนรัฐธรรมนูญชั่วคราวให้สามารถแก้ไขได้

             ที่ผ่านมาคณะรัฐประหารของประเทศไทย เขียนรัฐธรรมนูญชั่วคราว ในลักษณะชั่วคราวที่แข็งตัวไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ดังนั้น ทุกอย่างต้องเดินตามแผนที่วางไว้ตอนต้น  หรือหากต้องการเปลี่ยนอะไร ก็ต้องใช้วิธีฉีกรัฐธรรมนูญชั่วคราวทิ้ง โดยการ "รัฐประหาร" ตัวเอง

             แต่รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 นั้น เปิดทางให้มีการแก้ไขได้ตลอด เหมือนกับที่แก้ไขมาแล้วสองครั้ง โดยครั้งแรกเป็นการแก้ไขให้ทำประชามติ และครั้งที่สองเป็นการแก้ไขเพิื่อให้กติกาในการทำประชามติชัดเจนขึ้น

             เราจึงเห็นได้ว่าการทำให้รัฐธรรมนูญชั่วคราวมีทางออกเช่นนี้ เป็นการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของ คสช.

             และนั่นหมายความว่าก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในการแก้ไข  และระยะเวลาที่ใช้ก็ไม่มาก เพราะขั้นตอนในการผ่านคณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติแห่งชาตินั้นหากจะทำจริงๆ ก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ก็เรียบร้อย

              แต่อย่างแรกหากอยากจะให้ไม่มีประชามติจริงต้องมีเหตุผลที่เรียกกันว่าสถานการณ์ที่สุกงอมเพียงพอให้เป็นความชอบธรรมในการประกาศยกเลิก