
หยอดฝันวันพรุ่งนี้ที่ริโอ
หยอดฝันวันพรุ่งนี้ที่ริโอ
ณ ชั่วโมงนี้ มิอาจปฏิเสธได้ว่าชื่อของ “น้องเมย์” รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตันสาววัย 21 ปี กลายเป็นที่รู้จักของคนไทยทั้งประเทศและคอตบลูกขนไก่ทั่วโลกไปแล้ว
ด้วยลีลาการเคลื่อนที่พลิ้วไหวดุจนักบัลเลต์ การตบที่เฉียบคม ประกอบกับมารยาทที่งดงามแบบไทยๆ ยกมือไหว้แทบจะในทุกเหตุการณ์สำคัญ ตั้งแต่ก่อนลงสนาม เปลี่ยนลูก เช็ดพื้น ขอโทษคู่แข่ง กระทั่งจบเกม ทำให้สาวน้อยคนนี้เข้าไปอยู่ในใจของใครต่อใครได้อย่างไม่ยาก
การคว้าแชมป์ 4 จาก 6 รายการที่ลงแข่งขันในปีนี้รวมถึงผลงานชิ้นโบแดง ได้แชมป์รายการใหญ่ 3 ทัวร์นาเมนต์ติดต่อกันในห้วงเวลาแค่ 3 สัปดาห์ ไล่จาก อินเดีย โอเพ่น, มาเลเซีย โอเพ่น และ สิงคโปร์ โอเพ่น นอกจากจะทำให้เธอขยับอันดับขึ้นมาเป็นนักแบดมินตันมือ 1 ของโลกคนใหม่แล้ว ยังถือเป็นการสะสมเกียรติยศใหม่อีกขั้น ที่ก่อนหน้านี้เธอทำสถิติเป็นนักตบลูกขนไก่ไทยคนแรกที่คว้าแชมป์เยาวชนโลก แชมป์โลก และแชมป์เอเชีย มาแล้ว
นั่นจึงไม่แปลกใจที่น้องเมย์จะถูกใครๆ จับตามองในฐานะตัวเต็ง “เหรียญทอง” โอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่นครริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 5-21 สิงหาคมนี้ ที่อาจจะเป็นเกียรติยศระดับ “เมเจอร์” ชิ้นถัดไปของเธอก็ได้
ถือเป็นการ “ขอล้างตา” ในมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ ที่เมื่อ 4 ปีก่อน ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เธอพ่ายแพ้ตกรอบก่อนรองชนะเลิศที่ “เจ็บที่สุด” ครั้งหนึ่งในชีวิต ชนิดที่เจ้าตัวต้องหลั่งน้ำตาแห่งความเสียใจออกมาทันทีที่เกมจบเลยทีเดียว
โอลิมปิก 2012 “ลอนดอนเกมส์” น้องเมย์เดินทางไปร่วมแข่งขันในฐานะนักแบดมินตันดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งยุค หลังสร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในโลกแห่งเกมตบลูกขนไก่ด้วยการทำสถิติเป็นนักกีฬาคนแรกของโลกที่คว้าแชมป์เยาวชนโลก 3 สมัยซ้อน ในปี 2009-2011 เป็นความหวังเล็กๆ ของทัพนักกีฬาไทยในการคว้าเหรียญรางวัลกลับบ้าน
การเล่นในรอบแรกเธอไม่มีปัญหาในการเอาชนะคู่แข่งจากศรีลังกา และโปรตุเกส ผ่านเข้ารอบ 16 คนสุดท้ายไปตามความคาดหมาย ไปเจอคู่แข่งขันที่ถือเป็นกระดูกชิ้นโตอย่าง “ป้าเชง” จูเลียน เชงค์ จากเยอรมนี ที่ตอนนั้นเป็นมือ 6 ของโลก และการเจอกันก่อนหน้านั้น 3 หน ก็สามารถเอาชนะนักตบสาวไทยรายนี้ได้ทั้งหมด
ทว่าการพบกันครั้งที่ 4 น้องเมย์กลับพลิกชนะได้ 21-16, 21-15 ล้างอาถรรพณ์ได้สำเร็จ และการเจอกันหลังจากนั้นอีก 5 ครั้ง “ป้าเชง” ก็เป็นแค่ “งูเหลือม” ที่ต้องมาพ่ายแพ้ต่อ “เชือกกล้วย” อย่างน้องเมย์เรียบวุธ กระทั่งแขวนแร็กเก็ตเลิกเล่นไปในที่สุด
ด่านต่อไปที่น้องเมย์ต้องเจอก็คือ หวัง ซิน สิงห์อีซ้ายจากจีน ที่ถือเป็น 1 ใน 3 “นักตบตระกูลหวัง” ที่โด่งดังในยุคนั้น ร่วมกับ หวัง อี้ ฮาน และหวัง ซิ เซียน ที่เป็นบ่อเกิดของน้ำตาแห่งความพ่ายแพ้ที่เจ้าตัวจดจำมาถึงทุกวันนี้
เกมแรกสาวไทยชนะ 21-17 และนำอยู่ในเกมที่ 2 ถึง 16-9 ที่ใครๆ ก็คาดคิดว่าเส้นทางสู่รอบตัดเชือกโอลิมปิกของน้องเมย์น่าจะถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบ แถมปูพรมแดงรอต้อนรับอีกต่างหาก
แต่แล้วฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมากลางวันแสกๆ กลางเวมบลีย์ อารีนา ที่เป็นสังเวียนแข่งขัน เมื่อนักตบจีนเปลี่ยนสไตล์การเสิร์ฟ ดึงเกมช้าลง ค่อยๆ ทำแต้มไล่จนมาตีเสมอ ก่อนแซงชนะ 21-18 และครองเกมได้ทั้งหมดในเกมตัดสิน เอาชนะสาวไทยได้อีก 21-14 ปิดฉากโอลิมปิกสมัยแรกในชีวิตของน้องเมย์ลงอย่างสิ้นเชิง
ความพ่ายแพ้ในครั้งนั้นทำให้น้องเมย์ท้อไปพักหนึ่งก่อนกลับมาฮึดสู้ซ้อมหนักอีกหน และมาได้รางวัลตอบแทนที่คุ้มค่าในปีถัดมา คือ การบุกไปเอาชนะ หลี่ เสี่ยว เร่ย มือ 1 ของโลก ถึงแดนมังกร คว้าแชมป์โลกกลับมาครองได้สำเร็จ และหลังจากนั้นอีก 2 ปี หรือเมื่อปีก่อน น้องเมย์ก็ย้อนภาพเดิมๆ กลับมา ด้วยการบุกไปคว้าแชมป์เอเชียได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะ หลี่ เสี่ยว เร่ย คู่ปรับคนเดิมได้อีกหน
กระทั่งในปีนี้ฟอร์มการเล่นของน้องเมย์ถือว่าค่อนข้างคงเส้นคงวา ลงเล่นไปแล้ว 25 นัด แพ้เพียงแค่ 2 ครั้ง ต่อ แคโลไรนา มาริน คนที่เธอทำแต้มแซงขึ้นเป็นมือ 1 ของโลก ในศึกออลอิงแลนด์ และฮี บิง เจียว อดีตแชมป์เยาวชนโลกในศึกสวิส โอเพ่น คว้าแชมป์มาแล้วถึง 4 รายการ เปลี่ยนน้ำตาแห่งความเสียใจให้กลายเป็นรอยยิ้มใสๆ ของเด็กสาววัยรุ่นได้สำเร็จ
นั่นทำให้น้องเมย์กล้าที่จะประกาศออกมาว่า ณ วินาทีนี้ เธอพร้อมแล้วสำหรับการไล่ล่าเหรียญทองโอลิมปิก 2016 กลับมาเป็นของขวัญให้ชาวไทยทุกคน
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น น้องเมย์ยังคงต้องทำงานหนักต่อไปเพื่อรักษาตำแหน่งมือ 1 ของโลก หรืออย่างน้อยติด 1 ใน 4 ของโลก ในการประกาศคะแนนสะสมโอลิมปิก วันที่ 21 กรกฎาคมนี้ ซึ่งสหพันธ์แบดมินตันโลก หรือบีดับเบิลยูเอฟ จะนำมาใช้การวางมือนักกีฬาในกีฬาโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้
“การติดเป็น 1 ใน 4 ของมือวาง จะทำให้ไม่ต้องเจอกับพวกมือวางด้วยกันในรอบแรกๆ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องไม่หลุด 1 ใน 8 เพราะต้องยอมรับว่า นักแบดมินตันหญิง 8 หรือ 10 คนแรกในยุคนี้ มีฝีมือไม่แตกต่างกันมากนัก พร้อมที่จะแพ้ชนะกันได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นใครพร้อมมากกว่ากัน และเป็นวันของใคร” น้องเมย์ กล่าว
จนถึงขณะนี้น้องเมย์ยังเหลือโปรแกรมให้แข่งขันอีก 5 รายการ เริ่มจาก ศึกชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 26 เมษายน-1 พฤษภาคม ที่เธอเป็นแชมป์เก่า ต่อด้วยการร่วมทีมชาติไปเล่น อูเบอร์คัพ ที่ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 15-22 พฤษภาคม จากนั้นเป็นศึก อินโดนีเซีย โอเพ่น ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม–5 มิถุนายน, ออสเตรเลียน โอเพ่น ระหว่างวันที่ 7-12 มิถุนายน และไชนีสไทยเป โอเพ่น ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน–3 กรกฎาคม เป็นรายการปิดท้าย
โดยการเตรียมตัวในเวลาที่เหลือนั้น “โค้ชเป้” ภัททพล เงินศรีสุข ผู้ฝึกสอนคู่ใจ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้น้องเมย์มีฟอร์มการเล่นที่ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอด นักแบดระดับโลกจะต้องมีมาตรฐานที่ดี เชื่อว่าเรื่องความคิดและสมาธิเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ทั้งนี้เรื่องของการฝึกซ้อมและวิทยาศาสตร์การกีฬา เทคนิค ทักษะต่างๆ ควรจะมีควบคู่กันไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นทีมงานเลยมานั่งมองว่าควรแก้ปัญหาในส่วนไหนก่อน
“เริ่มจากเรื่องร่างกาย ซึ่งเมย์ดีอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้ดียิ่งขึ้น ส่วนเรื่องสมาธิ เราได้ทำหลังรายการสวิส โอพ่น ก่อนแข่งที่อินเดีย 1 สัปดาห์ ซึ่งผลที่ได้ดีเกินคาด เพราะตัวน้องเมย์เอง เป็นเด็กที่ทำอะไรแล้วมีสมาธิ ก็จะทำได้ดี แต่ถ้าเขาไม่มีสมาธิ บางทีก็อาจจะมีเรื่องของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เขาไม่นิ่ง ไม่แน่นอน ทำให้ต้องมาปรับกันตรงนี้ ซึ่งเมย์ตั้งใจในการทำสมาธิ เพราะเราก็บอกว่าสิ่งนี้สำคัญ มันไม่ใช่ว่าเราตั้งใจซ้อม ดูแลตัวเอง เรื่องการกิน ความคิด จิตใจ ก็เป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิต ซึ่งเมย์ค่อนข้างอ่อนในจุดนี้ ซึ่งเมย์ก็ฟังและปฏิบัติตามอย่างดี”
ส่วนคู่แข่งที่สำคัญ น้องเมย์ กล่าวว่า เบอร์ 1 ในตอนนี้คงเป็น โนโซมิ โอกูฮาระ จากญี่ปุ่น ที่ฟิตเปรี๊ยะ ตีเสียยาก ตามมาคือ แคโรไลนา มาริน และ ไซนา เนห์วัล จากอินเดีย ส่วนที่ประมาทไม่ได้เลยก็คือ หวัง อี้ ฮาน ที่ก่อนหน้านี้สาวไทยแพ้มาตลอด 12 ครั้ง ก่อนมาปลดล็อกได้สำเร็จเอาในรายการมาเลเซีย โอเพ่น เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนนี้เอง
เรียกได้ว่าตอนนี้น้องเมย์อยู่ในช่วงกายพร้อม ใจพร้อม ทุกอย่างพร้อมสำหรับการบุกไปหยอดฝันครั้งใหม่ที่มีชื่อว่า “แชมป์ริโอเกมส์”