
'บิ๊กตู่-แม้ว' เปิดหน้าชน เกมชิงจังหวะ 'ใครพลาดอาจถึงฆาต'
10 เม.ย. 2559
คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : 'บิ๊กตู่-แม้ว' เปิดหน้าชน เกมชิงจังหวะ 'ใครพลาดอาจถึงฆาต' : โดย...สำนักข่าวเนชั่น
“ขอบคุณหลายคนที่ช่วยเหลือพรรคทั้งทางตรงและทางอ้อม มีน้ำใจ ช่วยเหลือทั้งทางวิชาการ หรือออกมาต่อสู้ ถูกเรียกไปปรับทัศนคติมาหลายรอบ ขอให้ทุกคนมีความสุข ความเจริญ สุขภาพแข็งแรง ผมอายุ 67 ปียังใช้ได้อยู่ ยังเดินหลายกิโล ถ้าไปเยี่ยมราษฎรยังไหวอยู่ เดินได้เป็นกิโลๆ ขอให้หมั่นตรวจร่างกาย ออกกำลังกาย มีวินัยการกินการนอนรักษาอารมณ์ให้ดี เมื่ออารมณ์ไม่ดี นิสัยไม่ดีก็ทิ้งไป ชีวิตจะยาวนาน มีความสุข วันนี้ดีใจ ขอบคุณครับ แฮปปี้ วันสงกรานต์” ช่วงหนึ่งที่นายทักษิณ ชินวัตร สไกป์มาอวยพรอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยเนื่องในเทศกาลสงกรานต์
นัยของนายใหญ่เบอร์ 1 ของพรรคเพื่อไทยที่ไม่ต้องตีความมากนัก คือ ขอให้พลพรรคเพื่อไทยเดินหน้าลุยต่อ แม้ไม่นานมานี้อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะโดนขุนพลท็อปบู๊ทจับตาตั้งแต่เรื่องปฏิทินปีใหม่และขันแดง รวมทั้งการออกมาแสดงความเห็นที่ไม่ถูกใจคนในเครื่องแบบมากนัก แต่หากมาไล่มองคำพูดของคีย์แมนเบอร์ 1 ของคสช.นั้น จะไม่มีข้อสงสัยเลยว่า ทำไมยามนี้การขันนอตในการจัดระเบียบประเทศไทยจึงเคร่งครัดยิ่ง นั่นเป็นเพราะการจับจังหวะการเคลื่อนไหวซึ่งกันและกันนั่นเอง
โดยเฉพาะช่วงนี้ แม้สังคมเห็นหน้าตาร่างรัฐธรรมนูญที่จะเตรียมลงประชามติในอีกไม่นานนี้นั้น มันคือแต้มต่อที่นายใหญ่อ่านสิ่งที่คีย์แมนเบอร์ 1 ของคสช.หวั่นใจ เพราะแรงต้านกับการเขียนบทบัญญัติในกฎหมายหลักของประเทศที่วางไว้นั้น คนการเมืองแทบจะทำอะไรไม่ได้เลยในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี โดยคนที่จะกุมสภาพคือพรรคข้าราชการ โดยเฉพาะบรรดา ผบ.เหล่าทัพที่จะเป็นคนที่กุมกลไกต่างๆ ไว้ในมือ
ฉะนั้นยาแรงที่ป้องกันการดื้อยาตั้งแต่ตอนนี้ไปนั้น มันคือสิ่งจำเป็นของคสช.ในยามนี้ที่จำเป็นต้องใช้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
“ส่วนการควบคุมตัวหรือจับกุมผู้ที่เรียกร้องต่างๆ นั้นเป็นไปตามหลักกฎหมาย แต่กลับอ้างหลักสิทธิมนุษยชน คนเหล่านี้ผิดกฎหมายที่ประกาศไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการห้ามชุมนุม ห้ามพูดจาส่อเสียด ซึ่งต้องถามว่า คนเหล่านี้ละเมิดกฎหมายก่อนหรือไม่ วันนี้ผมตอบโต้ต่างประเทศไปว่า ตั้งแต่เข้ามานั้นได้ทำคนตายไปแล้วกี่คน ซึ่งไม่มีสักคน นั่นเป็นเพราะบ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย ประชาชนเชื่อฟังกฎหมาย ไม่ต้องตายเหมือนอดีตที่ผ่านมา”
และ “ตราบใดที่ผมไม่โดนต่อต้านว่ามากนัก ผมก็จะไม่พูดถึงเขา แต่นี่มันชอบพูดว่าผมทุกวัน ผมก็มนุษย์นะ ให้ผมสงบปาก สงบคำเหรอ เป็นนายกฯ ต้องไม่พูด เงียบๆ เรียบร้อยหรืออย่างไร ผมเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวในโลกที่เป็นแบบนี้ จะบอกให้ ไม่มีใครเขาเป็นหรอก เพราะประชาชน ไม่ใช่ว่าผมเก่ง ผมมาเพื่อจัดระเบียบเท่านั้นเอง”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.กล่าวตอนหนึ่งในช่วงที่เป็นประธานมอบนโยบายการดำเนินงานแก่ภาครัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ” เมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา
มันสอดรับกับ “การฝึกอบรมผู้นำการสร้างชาติอย่างสร้างสรรค์สำหรับผู้นำหรือแกนนำประชาชนทั่วไป" หรือหลักสูตรเข้าค่ายปรับทัศนคติของคสช.ที่ประกาศไว้ไม่กี่วันที่ผ่านมานั้น มันคือประกาศอย่างเป็นทางการของขุนพลท็อปบู๊ทที่ส่งออกไปเตือนผู้ที่มีความเห็นในขั้วตรงข้ามกับ พล.อ.ประยุทธ์ และแม่น้ำ 5 สายที่เดินเครื่องจัดระเบียบประเทศไทย
ก่อนหน้านี้ใครที่แสดงความเห็นที่ คสช.มองว่าอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงหรือมีทัศนคติที่เป็นลบต่อการทำงานในช่วงโรดแม็พของคสช.-รัฐบาลนั้น จะมีการเชิญตัวมาพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจ แม้หลายคนที่จะโดนเชิญตัวมาพบ เมื่อกลับออกไปแล้วก็ไม่ก่อสิ่งรำคาญใจของขุนพลท็อปบู๊ท แต่บางคนเมื่อมาพบขุนพลนายทหารบ่อยครั้งแต่ก็ยังทำตัวเสมือนไม่รับรู้-ไม่รู้เรื่อง
ฉะนั้นหลักสูตรนี้แม้ไม่มีกฎหมายใดๆ รองรับ แต่เสมือนเป็นคำสั่ง คสช.ที่ยามนี้ใช้ทำอะไรก็ได้บนแผ่นดินไทย แม้บางฝ่ายมองว่ามันละเมิดสิทธิมนุษยชนก็ตาม แต่ยามนี้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการเคลียร์รันเวย์ให้ราบเรียบเพื่อมิให้มีแรงกระเพื่อมใดๆ เกิดขึ้นในช่วงที่ยังกุมสภาพ
พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช.กล่าวถึงการดำเนินการจัดหลักสูตรอบรมนักการเมืองของคสช.ว่า หลักสูตรนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการ คือ
1.เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมเข้าใจสถานการณ์ตั้งแต่ คสช.เข้ามาบริหารประเทศเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 จนถึงปัจจุบัน
2.เพื่อให้ผู้เข้าอบรมเข้าใจและรับรู้กติกาสังคมปัจจุบันที่เน้นสร้างความปรองดองสมานฉันท์
3.สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและไว้ใจต่อการปฏิบัติงานของรัฐบาลและ คสช.
4.ขอความร่วมมือไม่ให้ผู้เข้ารับการอบรมขัดขวาง และขอความร่วมมือให้ช่วยสนับสนุนงานของรัฐบาลและ คสช.

“ส่วนหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้ที่เหมาะสมเข้าอบรม คสช. ได้กำหนดไว้ว่า เป็นผู้นำหรือแกนนำประชาชน ที่กระทำผิดกฎหมาย ทำผิดกติกาสังคม และฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติจนทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลและ คสช.เกิดความเสียหาย รวมถึงมีพฤติกรรมที่มีแนวโน้มสร้างความขัดแย้งระหว่างคนในสังคม ตลอดจนมีพฤติกรรมแปลกแยกไปจากสังคม โดยระยะ"
เวลาหลักสูตรนี้จะใช้เวลาทั้งสิ้น 7 วัน จำนวน 168 ชั่วโมง ซึ่ง คสช. จะใช้อำนาจตามกฎหมายเท่าที่ทำได้และไม่มีอะไรเกินเลยแต่อย่างใด สำหรับขั้นตอนปฏิบัติในการเชิญผู้ถูกอบรมในหลักสูตรดังกล่าวนั้น จะเชิญตัวและดำเนินการอย่างเปิดเผยด้วยการให้เกียรติ พร้อมทั้งแจ้งพฤติกรรมคนที่ถูกเชิญได้รับทราบว่า มีคุณสมบัติใดที่ควรเข้ารับการอบรม อีกทั้งจะต้องแจ้งให้ญาติของผู้ถูกอบรมรับทราบว่าจะไปสถานที่ใด รวมทั้งสามารถเข้าไปเยี่ยมได้
ขอย้ำว่า เราจะอำนวยความสะดวกให้คนที่เข้ารับการอบรมเป็นอย่างดี หากจบหลักสูตรอบรม 7 วันแล้ว เราจะอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับบ้านด้วย
คสช.มีอำนาจในการเชิญตัวและตักเตือน “รายชื่อผู้ที่จะเข้ารับการอบรม อาจจะเป็นคนเดิมๆ ที่ คสช.ติดตามพฤติกรรมมาโดยตลอด อีกทั้งเชิญมาพูดคุยหลายครั้งแล้ว แต่ช่วงหลังพบว่ามีท่าทีและทัศนคติของคนเหล่านั้นที่ดีขึ้น ย้ำว่า เรายังคงติดตามและเฝ้าดูอยู่เสมอ”

ขณะเดียวกันคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists-ICJ) ฮิวแมน ไรท์ส วอชท์ (Human Rights Watch-HRW) แอมแนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International-AI) สภาเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Forum for Human Rights and Development-FORUM-ASIA) สหพันธ์สิทธิมนุษยชนสากล (International Federation for Human Rights-FIDH) และฟอร์ติฟาย ไรท์ (Fortify Rights–FR) กล่าวพร้อมกันในวันนี้ว่า ประเทศไทยต้องยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 13/2559 ซึ่งให้อำนาจอย่างกว้างขวางแก่เจ้าหน้าที่ของกองทัพไทยโดยทันที เนื่องจากเป็นคำสั่งที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม โดยมอบอำนาจหลายประการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิด 27 ประเภท รวมทั้งปราบปรามผู้กระทำการให้เกิดความไม่สงบในที่สาธารณะ ความผิดต่อเสรีภาพและชื่อเสียง การตรวจคนเข้าเมือง การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด และการค้าอาวุธ
สองเรื่องนี้แม้มองเบื้องต้นจะเป็นคนละเรื่อง หากมองลงลึกๆ แล้วมันเสมือนผูกกัน เพราะบางคนอาจจะโดนเข้าค่ายอบรม 7 วัน แต่อาจจะเจอแจ็กพอตโดนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 13/2559 แถมท้าย หากมีการไล่ตรวจสอบคุณสมบัติกันแบบเจาะลึกเพื่อจัดการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด
สถานการณ์ยามนี้บางคนอาจจะมองว่ามันคล้ายธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 มาตรา 17 ในยุคจอมพลผ้าขาวม้าแดง ที่ทำให้เหตุวุ่นวายในยุคนั้นถึงกับนิ่งสนิท บทเรียนจากยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ศึกษาและนำมาปรับใช้ในสถานการณ์วันนี้นั้น น่าจะมีความก้าวล้ำไปกว่าเมื่อห้าสิบกว่าปีที่ผ่านมา เพราะพล.อ.ประยุทธ์มองว่าสถานการณ์มันเปลี่ยน กติกาก็ต้องปรับ แต่หลักการยังคงเดิมมิเปลี่ยนไปคือสกัดกั้นภัยต่อความมั่นคงที่มาจากขั้วอำนาจทางการเมือง
บทเรียนความรุนแรงตั้งแต่ปี 2549-2557 นั้น ยังอยู่ในความทรงจำของพล.อ.ประยุทธ์ และยามที่มีอำนาจสูงสุดในยามนี้ หากไม่ถอนรากถอนโคนสารพันปัญหาให้เสร็จสิ้น วังวนความขัดแย้งที่อาศัยอำนาจการเมืองก็ยังไม่จบ และการยึดอำนาจก็อาจจะเสียของ แต่บางครั้งหากใช้ยาแรงเกินไปมันก็อาจจะเกิดกระแสตีกลับมายังขุนพลท็อปบู๊ทเสมือนบางบทเรียนในประวัติศาสตร์เมืองไทย และสิ่งนี้คือยอดปรารถนาของนายใหญ่แห่งเพื่อไทย
หมากบนกระดานการเมืองไทยช่วงนี้และอนาคต ถือได้ว่าน่าจับตาเพราะเกมนี้ ใครเดินหมากพลาดแม้แต่นิดเดียวก็อาจจะต้องเก็บฉากแบบถาวร
---------------------
(คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : 'บิ๊กตู่-แม้ว' เปิดหน้าชน เกมชิงจังหวะ 'ใครพลาดอาจถึงฆาต' : โดย...สำนักข่าวเนชั่น)