
เงินทองต้องรู้ : บ้านไม่บาน
28 มี.ค. 2559
เงินทองต้องรู้ : บ้านไม่บาน : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล [email protected]
“เงินทองต้องรู้” วันนี้ขออนุญาตหยิบยืมชื่อ “บ้านไม่บาน” ของ อ.เชี่ยว ชอบช่วย–ผศ.ดร.ภัทรพล เวทยสุภรณ์ ซึ่งเคยร่วมงานกันเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว ตอนที่หนังสือพิมพ์ “คม ชัด ลึก” ตัดสินใจเปิดเซคชั่นอสังหาริมทรัพย์ ใช้เวลาหลังจากนั้นไม่นานนัก “บ้านไม่บาน” ของ อ.เชี่ยว ก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ด้วยการนำเสนอแบบบ้านแบบประหยัด ปลูกสร้างได้จริง ทั้งสวยงามในราคาย่อมเยา
ที่ต้องยก “บ้านไม่บาน” มาจั่วหัวในวันนี้ เพราะช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการ “บ้านประชารัฐ” ซึ่งเป็นโครงการ “บ้านหลังแรก” ที่เปิดโอกาสให้ประชาชน ผู้มีรายได้น้อย ทั้งผู้ที่มีรายได้ประจำ เช่น ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ บุคลากรทางการศึกษา และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์มาก่อน ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง รวมถึงซ่อมแซมและต่อเติมที่อยู่อาศัย
เงื่อนไขการกู้ซื้อบ้านนั้น นอกจากจะต้องไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อน หรือเป็น “บ้านหลังแรก” แล้ว ราคาที่อยู่อาศัยรวมที่ดินต้องไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ส่วนการกู้เพื่อต่อเติมหรือซ่อมแซมนั้น ผ่อนปรนให้ผู้ที่มีบ้านอยู่แล้วกู้ได้ไม่เกิน 5 แสนบาท สำหรับอัตราดอกเบี้ย หากวงเงินกู้ไม่เกิน 7 แสนบาท ปีแรกดอกเบี้ย 0% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2% ผ่อนต่อเดือน 3 พันบาท ปีที่ 4-6 ดอกเบี้ย 5% ผ่อนต่อเดือน 4 พันบาท และปีที่ 7-30 ดอกเบี้ยลอยตัว หรือผ่อนต่อเดือน 4.5 พันบาท
หากวงเงินกู้เกิน 7 แสนบาท ถึง 1.5 ล้านบาท ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3% ผ่อนต่อเดือน 7.2 พันบาท ปีที่ 4-6 ดอกเบี้ย 5% ผ่อนต่อเดือน 8.6 พันบาท ปีที่ 7-30 ดอกเบี้ยลอยตัว ผ่อนต่อเดือนตั้งแต่ 8.9-9.1 พันบาท
ก่อนหน้าที่คณะรัฐมนตรี จะมีมติอนุมัติโครงการบ้านประชารัฐ มีข่าวที่เป็น “รายงาน” จากสำนักงานศาลยุติธรรมที่สรุปคดีฟ้องร้องผู้บริโภคตลอดปี 2558 ว่ามีจำนวน 5.2 แสนคดี เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6.88 หมื่นคดีหรือเพิ่มขึ้น 15.21% โดย 5 อันดับของคดีที่มีการฟ้องร้องกันมากที่สุด ได้แก่ คดีสินเชื่อส่วนบุคคล 1.72 แสนข้อหา ตามมาด้วยคดีกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) 9.27 หมื่นข้อหา คดีบัตรเครดิต 6.48 หมื่นข้อหา คดีเช่าซื้อรถยนต์ 4.67 หมื่นข้อหา และคดีเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ 5,565 ข้อหา
เป็นที่น่าสังเกตว่า ข้อมูลตัวเลขเกี่ยวกับการฟ้องร้องคดีผู้บริโภคเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้สอดคล้องกับตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมีนักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักเห็นตรงกันว่า หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น เป็นผลพวงมาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 ที่ประชาชนต้องซ่อมแซมบ้านเรือนที่อยู่อาศัย รวมถึงมาตรการรถคันแรกด้วย
แม้จะไม่อาจเหมารวมว่า โครงการบ้านประชารัฐ จะเป็นอีกหนึ่งความสุ่มเสี่ยงที่ทำให้ “หนี้ครัวเรือน” และการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งน่ากังวลอยู่แล้ว แต่การสนับสนุนให้มี “บ้านหลังแรก” ในภาวะเช่นนี้ ก็มีข้อควรระวัง
ไม่ว่าจะเป็นบ้านประชารัฐ บ้านหลังแรก หรือบ้านหลังไหน หลักคิดที่สำคัญที่สุดประการแรก คือ ความสามารถในการผ่อนชำระ
คำแนะนำของศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย บอกว่า หลักคิดก็คือ หากเรามีหนี้มาก ก็ต้องเสียดอกเบี้ยจำนวนมาก และถ้าภาระหนี้ที่ต้องผ่อนจ่ายในแต่ละงวดมากเกินกำลังชำระหนี้ของเรา ก็อาจไม่มีเงินไปจ่ายตามกำหนด หรือที่เรียกว่า เกิดการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งเราอาจต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยกรณีผิดนัด ซึ่งแพงกว่าดอกเบี้ยปกติ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าติดตามทวงถามหนี้ นอกจากนี้ ประวัติทางการเงินของเราก็จะเสีย ซึ่งอาจเป็นปัญหาในการขอสินเชื่อครั้งต่อไป หรือเรื่องอาจบานปลายออกไปอีก เช่น อาจถูกฟ้องล้มละลายได้
ดังนั้น สิ่งที่ควรจำให้ขึ้นใจและนำมาใช้ทุกครั้งก่อนตัดสินใจเป็นหนี้ ก็คือ ควรพิจารณาว่าเรามีความสามารถในการผ่อนชำระมากน้อยแค่ไหน ซึ่งสัดส่วนการผ่อนชำระหนี้ทั้งหมดในแต่ละเดือนไม่ควรเกิน 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือน เพื่อให้เราไม่มีภาระหนี้และความหนักใจมากจนเกินไป รวมทั้งมีเงินใช้สำหรับเรื่องอื่นในชีวิต เช่น ออมเพื่อวันข้างหน้า ซื้อสินค้าและบริการที่จำเป็นต้องใช้ในปัจจุบัน
ย้อนกลับไปดูอัตราการผ่อนชำระต่ำสุดของบ้านประชารัฐ อยู่ที่ 3 พันบาทต่อเดือน แปลว่า คนที่มีความสามารถในการผ่อนชำระต่อเดือนได้ ต้องมีรายได้ต่ำสุดที่ 9,000 บาท โดยที่ยังไม่พิจารณารายจ่ายอื่นๆ ประกอบ ขณะที่อัตราผ่อนชำระสูงสุดอยู่ที่ 9,100 บาทต่อเดือน เท่ากับคนที่มีรายได้เดือนละ 2.7-2.8 หมื่นบาท อยู่ในกลุ่มมีความสามารถในการชำระหนี้ได้
จริงๆ ศคง.ยังแนะนำให้พิจารณาประเภทของสินเชื่อให้เหมาะกับความจำเป็น อัตราดอกเบี้ยและวิธีคิดดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ความสะดวกของช่องทางการชำระหนี้และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสำหรับโครงการบ้านประชารัฐแล้ว ไม่ต้องคิดให้วุ่นวาย เพราะรัฐคิดมาให้อยู่แล้ว
ดังนั้น ส่วนที่ต้องคำนึงถึงจริงๆ นอกเหนือจากความสามารถในการผ่อนชำระ ก็คือ ระยะเวลาในการผ่อนชำระ เพราะระยะเวลาในการผ่อนชำระมีผลต่อดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ยิ่งระยะเวลานาน ก็ยิ่งต้องจ่ายดอกเบี้ยมาก จึงไม่ควรติดกับดักจ่ายน้อยๆ แต่ต้องจ่ายนานๆ เพราะทำให้เราเสียดอกเบี้ยมาก ทั้งที่จริง ๆ แล้ว เรามีกำลังจ่ายมากกว่าที่กำลังผ่อนอยู่ หรือมองอีกด้าน ก็คือ หากผ่อนหมดไวก็จะเสียดอกเบี้ยน้อย ซึ่งสามารถทำได้ โดยวางเงินดาวน์ก้อนใหญ่หรือผ่อนชำระต่องวดให้มากเข้าไว้ แต่ต้องคิดเผื่อด้วยว่า การผ่อนชำระต่องวดไม่ควรกระทบกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและการออมเงินเผื่อเหตุฉุกเฉิน เพราะอาจทำให้เราใช้ชีวิตใช้ชีวิตแบบตึงเกินไป หรือหากมีเหตุฉุกเฉินแต่ไม่มีเงินรองรับ ก็อาจทำให้เราต้องไปกู้หนี้ยืมสินได้
สุดท้ายสำคัญที่สุด คือ ถ้าระหว่างทางมีปัญหาผ่อนชำระไม่ได้ ให้ขอคำแนะนำจากเจ้าหนี้สถาบันการเงิน อย่าดิ้นรนไปใช้บริการสินเชื่อนอกระบบเด็ดขาด เพราะสุดท้ายจะกลายเป็นเชือกรัดเราจนหายใจไม่ออก
โอกาสในการเป็นเจ้าของบ้านหลังแรกสำหรับผู้มีรายได้น้อยมาถึงแล้ว จะคว้าไว้ทั้งที่ ก็ต้องไม่คว้าไว้แบบ “บ้านไม่บาน”
--------------------
(เงินทองต้องรู้ : บ้านไม่บาน : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล [email protected])