ข่าว

ท้าพิสูจน์ฝีมือทายาท'หมอเส็ง''นิษฐา'ยึดคำสอน'ล้มต้องลุกได้'

ท้าพิสูจน์ฝีมือทายาท'หมอเส็ง''นิษฐา'ยึดคำสอน'ล้มต้องลุกได้'

07 มี.ค. 2559

ท้าพิสูจน์ฝีมือทายาท'หมอเส็ง' 'นิษฐา แสงสุริยะฉัตร'ยึดคำสอน'ล้มต้องลุกได้' : คมคิดธุรกิจนิวเจน โดยอนัญชนา สาระคู

            ในเวลานี้ คงไม่มีใคร...ไม่รู้จัก “หมอเส็ง” ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรตำรับแผนโบราณ โดยเฉพาะผู้หญิงไทยที่น่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี และยิ่งเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น เมื่อหมอเส็งขยายธุรกิจในรูปแบบการขายตรงแบบหลายชั้น (เอ็มแอลเอ็ม) มียอดขายขึ้นแท่นติดอันดับ 1 ใน 5 ของธุรกิจขายตรงแบบเอ็มแอลเอ็ม จะเป็นรองก็แต่เจ้าใหญ่ๆ ชื่อดังของไทยและต่างชาติเท่านั้น

            เรียกได้ว่าเป็นเจ้าตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรของไทยกันเลยทีเดียว

            เมื่อเร็วๆ นี้ “นสพ.คม ชัด ลึก” ได้มีโอกาสพูดคุยกับหนึ่งในทายาทของหมอเส็ง (นายฉัตรชัย แสงสุริยะฉัตร) ที่เข้ามาช่วยธุรกิจของครอบครัว คือ “วนิษฐา แสงสุริยะฉัตร” ผู้ช่วยผู้จัดการ บริษัท ฉัตรชัยแพทย์แผนโบราณ จำกัด ที่เพิ่งจะได้รับมอบหมายภารกิจการขยายตลาดผลิตภัณฑ์หมอเส็งในประเทศกัมพูชาเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยวัยเพียง 25 ปี ซึ่งภารกิจแรกที่ได้รับ ทำให้เจ้าตัวหมายมั่นปั้นมือไว้ว่าอยากจะเห็นความสำเร็จ...เพื่อพิสูจน์ตนเอง

            “การขยายตลาดในกัมพูชา คือโปรเจกท์แรกที่ตาลสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง คือเริ่มตั้งแต่การติดต่อ เดินทางไปหาข้อมูลด้วยตัวเองแบบไม่รู้จักใครมาก่อน เพราะเห็นว่า แม้เราจะศึกษาข้อมูลจากที่บ้านเราไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่ก็รู้สึกยังไม่พอ จึงเดินทางไปเองเลย ไปดูตลาด ดูพื้นที่ และไปขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ของไทยที่ประจำที่กัมพูชา เช่น ทูตพาณิชย์ เพราะเราต้องการข้อมูลในเชิงลึกของกัมพูชาจริงๆ ก่อน” นิษฐา หรือ ตาล เริ่มเล่าและบอกถึงเป้าหมายว่า อยากเห็นโครงการนี้ประสบความสำเร็จและสามารถคืนทุนได้ภายในระยะ 3 ปี

            สำหรับ “หมอเส็ง” เริ่มมีชื่อเสียงจากการบอกเล่าปากต่อปาก จากการที่คุณพ่อ (หมอเส็ง) มีชื่อเสียงเรื่องศาสตร์ในการ “แมะ” รักษาผู้ป่วยและแจกยาให้สมัยอยู่บางคล้า แล้วมาตั้งโรงงานแถวดินแดง จากนั้นได้ย้ายไปตั้งโรงงานแห่งใหม่ที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี บนพื้นที่ 30 กว่าไร่ ปัจจุบันมีพนักงานราว 300 คน และขณะนี้อยู่ระหว่างการยกระดับมาตรฐานโรงงานขึ้นไปสู่มาตรฐานการผลิตเพื่อส่งออกได้ทั่วโลก ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาแผนโบราณ และอาหารเสริม โดยปัจจุบันผลิตภัณฑ์หมอเส็งแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ยาแผนโบราณ, อาหารเสริม, กลุ่มเครื่องดื่ม และเครื่องสำอาง แต่ที่ทำชื่อเสียงให้กับหมอเส็งมากก็คือ ยาแผนโบราณในกลุ่มว่าน

            นอกจากนี้ หมอเส็งยังได้เริ่มขยายธุรกิจแบบเอ็มแอลเอ็ม เมื่อปี 2545 และมีแผนการขยายตลาดไปยังต่างประเทศตั้งแต่ปี 2550 โดยได้เริ่มขยายตลาดใน สปป.ลาว ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีหลังมานี้เป็นที่รู้จักมากขึ้น จนปัจจุบันมีศูนย์หมอเส็งอยู่ทั้งสิ้น 13 สาขา รวมถึงที่ สปป.ลาว คือที่เวียงจันทน์ และปักเซ และเมื่อปี 2557 มียอดขายกว่า 3,000 ล้านบาท ติดอันดับท็อป 5 ของธุรกิจขายตรงแบบเอ็มแอลเอ็ม ซึ่งอันดับ 1 คือแอมเวย์ และอันดับ 2 คือกิฟฟารีน

            “ต้องบอกเลยว่ารู้สึกภูมิใจมากที่เราเป็นบริษัทคนไทย สามารถขึ้นไปติดอันดับในกลุ่มธุรกิจเอ็มแอลเอ็ม สู้กับบริษัทที่มาจากต่างประเทศได้ ทำให้เรารู้สึกว่าคนไทยยังใช้สมุนไพรกันอยู่ ยังมีความเชื่อในผลิตภัณฑ์ไทย และมีอีกหลายคนที่ยังพึ่งศาสตร์แผนโบราณที่เป็นศาสตร์ทางเลือก” ตาล กล่าว

            ส่วนการขยายตลาดนั้น หมอเส็งได้ขยายตลาดไปลาวก่อนหน้านี้แล้วและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ส่วนตัวเอง ทีแรกได้รับมอบหมายให้ไปดูตลาดที่เมียนมาร์ก่อน ไปอยู่ที่นั่นเลย 3 เดือน แต่พบว่าเมียนมาร์มีค่าครองชีพค่อนข้างสูง เช่นค่าที่ ค่าบริหารจัดการซึ่งจะสูงมาก จึงอาจจะยังไม่เหมาะที่จะเข้าไปทำตลาดในตอนนี้ เลยถอยกลับออกมา และหันมองไปตลาดกัมพูชาแทน โดยพบว่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาเติบโตค่อนข้างสูง จากข้อมูลพบว่ามีอัตราการเติบโตปีละกว่า 10% และยิ่งในตอนนี้เปิดเออีซี (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน) แล้ว ทำให้ยังมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

            หลังจากการเข้าศึกษาตลาดในกัมพูชามาระยะหนึ่งแล้ว ความคืบหน้าล่าสุด เราได้ติดต่อตัวแทนจำหน่าย ซึ่งเป็นเทรดดิ้ง คอมพานีในกัมพูชาไว้แล้ว ที่เขาจะทำหน้าที่เป็นผู้กระจายสินค้าให้แก่เราด้วย และวางแผนในการจำหน่ายสินค้าระยะแรก 500 สาขา ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอขอใบอนุญาตนำเข้าสินค้ากับทางหน่วยงานคล้ายๆ กับองค์การอาหารและยา (อย.) ในบ้านเรา ซึ่งหากได้รับใบอนุญาตนี้มา ก็สามารถทำตลาดได้ทันที ก็น่าจะราวเดือนเมษายนปีนี้ โดยจะเน้นทำตลาดแบบวางจำหน่ายตามสาขาก่อน เมื่อมีคนเริ่มรู้จักหมอเส็งมากขึ้น ก็น่าจะทำตลาดแบบเอ็มแอลเอ็มด้วยเพราะวางแผนไว้อยู่แล้ว

            สำหรับแผนการตลาดในระยะแรก คือจะเริ่มรุกตลาดตามเมืองใหญ่ๆ เช่น พนมเปญ เสียมราฐ กัมปงโจม และพระตะบอง เป็นต้น ซึ่งแม้ว่าหมอเส็งจะเป็นที่รู้จักอยู่บ้างแล้วเพราะเรามีการค้าระหว่างชายแดนอยู่แล้ว ทำให้การขยายตลาดในบางพื้นที่อาจจะไม่ยากนัก แต่หากเราสามารถเข้าไปจับตลาดในเมืองหลวงได้ก่อน ก็น่าจะสร้างความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่งด้วย

            “อยากให้โปรเจกท์ที่กัมพูชาประสบความสำเร็จเหมือนที่ลาวค่ะ แต่จริงๆ ทางคุณพ่อก็ไม่ได้ห่วงมากนัก ท่านบอกว่าหากเราทำไม่สำเร็จ อย่างน้อยเราก็ได้ประสบการณ์ ได้เรียนรู้ไป ซึ่งตัวคุณพ่อเองกว่าจะมาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จอย่างนี้ได้ ท่านก็ล้มลุกคลุกคลานมาเช่นกัน เคยไฟไหม้ที่บ้านถึง 3 ครั้งรวมโรงเก็บยาด้วย แต่ท่านก็ยังตั้งตัวใหม่ได้ ที่สำคัญเป็นเพราะท่านมีผลิตภัณฑ์ที่ดี ท่านจึงบอกว่าไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร แต่ส่วนตัวแล้วอยากทำให้สำเร็จเพราะว่าถือเป็นภารกิจแรกของตัวเอง และอยากพิสูจน์ตัวเราเองด้วย อย่างเราซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ มองธุรกิจด้วยการผสมผสานระหว่างประเทศไทยและการทำตลาดในต่างประเทศ เมื่อประสบความสำเร็จ คุณพ่อก็จะได้รู้สึกภูมิใจ และแบรนด์หมอเส็งก็จะได้เป็นที่รู้จักที่กัมพูชาด้วย”

            สำหรับตลาดหมอเส็งในประเทศไทย ตาลบอกว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ บริษัทได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น เช่นในกลุ่มเครื่องดื่ม ที่จะมีกาแฟ และกลุ่มเครื่องสำอาง คือจะมีทั้งสบู่ และยาสีฟัน เป็นต้น ในปีนี้บริษัทมีแผนขยายไลน์เครื่องดื่มให้มากขึ้น คือเรามีโปรเจกท์ผลิตกาแฟกระป๋อง น่าจะได้เห็นการเปิดตัวและจำหน่ายทั่วประเทศในช่วงปลายปีนี้ โดยผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ออกมาก็จะยังเน้นคอนเซ็ปต์หลักของเราเองคือมีส่วนผสมของสมุนไพร เพราะเราโตมากับสมุนไพรที่เป็นตำรับมาจากตระกูลของหมอเส็งเอง

            เป้าหมายในปีนี้บริษัทตั้งเป้าเติบโตไว้ที่ 5-10% จากปีก่อนที่ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ ส่วนปีนี้เปิดตลาดเออีซีแล้วทำให้เรามีแผนในการบุกตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น และนอกจากในกลุ่มเออีซีแล้ว ก็ยังมองไปตลาดอื่นๆ เช่น ยุโรป ทำให้เรามีแผนขยายฐานการผลิตด้วย ซึ่งมองไว้ที่ประเทศกัมพูชา ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่เราวางไว้สำหรับขยายตลาดไปยุโรป อย่างไรก็ตาม การไปตลาดยุโรปถือเป็นโจทย์ที่ยากมาก เนื่องจากการรับรู้ของคนยุโรปเกี่ยวกับสมุนไพรจะต่างจากคนในเอเชียที่จะรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ปัจจุบันแนวคิดของคนยุโรปเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกเริ่มมากมากขึ้น และมองว่าเป็นสมุนไพรไทย ก็เริ่มมองในทิศทางที่ดีขึ้น จึงน่าจะเป็นช่องทางที่สามารถเจาะตลาดได้ แต่เขาอาจจะยังไม่ตัดสินใจซื้อ ซึ่งหากจะให้เขาซื้อสินค้าเรา ก็จะต้องทำการตลาดให้ดีกว่านี้ก่อน

            อย่างไรก็ตาม ตอนนี้คิดว่าเราควรขยายตลาดอยู่ในนี้ก่อน แบบค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป
           
            ด้านผลิตภัณฑ์ของหมอเส็ง จะปรับเปลี่ยนให้เข้ากับคนรุ่นใหม่ให้มากขึ้น ซึ่งคนรุ่นใหม่ปัจจุบันเป็นกลุ่มคนที่อาจจะไม่คุ้นเคยกับสมุนไพรนัก แต่อันที่จริงเราก็คุ้นชินกับสมุนไพรกันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตะไคร้ ใบมะกรูด พวกนี้คือสมุนไพรทั้งหมด ที่สามารถนำมาปรุงอาหารได้ จึงอยากสร้างค่านิยมและความคิดใหม่ให้แก่คนรุ่นใหม่ด้วยว่า สมุนไพรไม่ใช่เรื่องล้าหลัง แต่คนทุกวัยสามารถรับประทานได้ เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ดีกับสุขภาพเราจริงๆ ส่วนช่องทางการตลาดออนไลน์ เป็นอีกส่วนหนึ่งที่มองไว้

            สำหรับตัวเองแล้ว ตาลบอกว่าเป็นคนช่างถาม ค่อนข้างมองโลกในแง่ดี และมีความพยายาม แต่ด้วยความที่ยังเป็นเด็กอาจจะยังไม่รอบคอบเท่าที่ควร คือบางทีการที่เราพยายามมากเกินไป อาจจะทำให้เรามองข้ามอะไรหลายๆ ซึ่งคิดว่าจะต้องปรับปรุงตัวในเรื่องนี้คือเรื่องความรอบคอบ เพราะเราถูกตักเตือนมา บางทีเราคิดว่าสิ่งที่เราทำดีแล้ว แต่ผู้ใหญ่เขาจะมีมุมมองอื่น ซึ่งเมื่อเขาบอกมามันก็จริง เพราะการทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่ายๆ โดยเฉพาะการทำธุรกิจข้ามชาติ เราต้องยิ่งรอบคอบ อ่านคนให้เป็น ดูให้ออกว่าหุ้นส่วนที่เขาเข้ามาติดต่อกับเรา จริงๆ แล้วเขาต้องการอะไรกันแน่ ทำให้ตอนนี้เราจะทำอะไรบางทีจะต้องคอยปรึกษาผู้ใหญ่ด้วย

            อย่างตลาดกัมพูชา จริงๆ แล้วมีคนมาติดต่อหมอเส็งเยอะมาก อยากให้เราเข้าไปร่วมทุนด้วย แต่ทางคุณพ่อบอกให้รอดูก่อน คือท่านต้องการหยั่งเชิงพวกเขาก่อน อาจจะไม่ได้ตอบตกลงไปในทันทีทันใด และในช่วงเวลาที่เราหยั่งเชิงนั้นแหละที่ทำให้ได้เห็นว่าใครมีความตั้งใจจริง เพราะเมื่อทอดเวลาออกไปก็จะมีบางคนที่เฟสตัวออกไปเช่นกัน และเราก็จะเห็นบางคนที่เขามีความพยายามกับเราจริงๆ หรืออย่างกรณีมีคนมาพูดในบางเรื่อง แต่ด้วยที่เราอาจจะยังไม่รู้เรื่องภายในจริงๆ ของกัมพูชา เมื่อเขาพูดอะไรมา เราต้องตรวจสอบก่อนว่าเป็นจริงอย่างที่เขาพูดหรือไม่ เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะต้องมีแผนสองไว้รองรับอยู่เสมอด้วย

            “ในเรื่องการบุกตลาด คุณพ่อบอกว่าไม่ต้องไปกลัวอะไร คือท่านอยากให้เราทำ ให้ลองได้เรียนรู้ดูว่าเป็นอย่างไร ซึ่งท่านจะไม่ดุ ไม่ว่า เพราะท่านเองก็เลยล้มมาก่อน แต่เมื่อล้มแล้วก็สามารถลุกขึ้นมาทำใหม่ได้ แต่ที่สำคัญท่านสอนเสมอว่า ในการทำธุรกิจเราจะต้องมีความซื่อสัตย์ ซึ่งที่บ้านเราจะเน้นในเรื่องความซื่อสัตย์มาก เพราะเรื่องนี้ด้วยที่ทำให้คุณพ่อเจริญเติบโตขึ้นมาได้ อย่างคุณพ่อเป็นหมอแมะ หากรักษาได้ท่านจะบอกว่าได้ หรือหากไม่ได้ก็จะบอกไม่ได้ เพราะว่าท่านก็ไม่ได้เชี่ยวชาญไปเสียทั้งหมด นอกจากนี้ท่านก็ยังสอนให้เราเคารพ รักพี่ รักน้อง ซึ่งครอบครัวเราจะรักกันมาก”

            ตาลบอกด้วยว่า สิ่งที่ตัวเองได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณพ่อคือ เรื่องของการดำเนินชีวิต ซึ่งบอกได้เลยว่าท่านเป็นคนไม่ย่อท้อ แม้จะล้ม ก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้ ไม่หยุดที่จะทำงาน ซึ่งทุกวันนี้ท่านก็ยังทำงานอยู่ ทั้งๆ ที่ก็ไม่จำเป็นจะต้องทำ แต่ท่านยังอยากทำงานอยู่ ท่านบอกว่าคนจีนเราต้องเป็นคนขยันทำมาหากิน ถ้าไม่ขยันก็ไม่มีเงินเลี้ยงครอบครัว หรือหากเกิดอุปสรรคอะไรก็ต้องสู้ ที่สำคัญคือขอให้เป็นคนที่ซื่อสัตย์

            “สำหรับตัวตาลเอง หากเจอสถานการณ์เหมือนท่าน อย่างไฟไหม้บ้านถึง 3 ครั้ง ก็จินตนาการไม่ถูกเหมือนกันนะว่าจะทำได้เหมือนท่านหรือเปล่า แต่ก็คิดว่าเมื่อมีวิกฤติก็ย่อมมีโอกาสด้วย คุณพ่อเลยโตมาได้ขนาดนี้ และได้เรียนรู้ในสิ่งที่ผิดพลาดมา แต่หากเกิดอุปสรรคขึ้นมากับตัวเองจริงๆ ก็คงบอกได้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เพราะคุณพ่อสอนให้พี่น้องรักกัน เมื่อเกิดปัญหาก็คิดว่ายังมีพี่ๆ ที่คอยดูแล ช่วยเหลือ ซึ่งก็น่าจะทำให้เราผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคนั้นไปได้” ตาล กล่าว


เส้นทางที่ยังไม่หยุดนิ่ง

            “ตาล" นิษฐา แสงสุริยะฉัตร สาวสมัยใหม่ บุคลิกคล่องแคล่ว ใฝ่หาความรู้ และรักสัตว์ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านไฟแนนซ์ ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ในระหว่างเรียนยังได้เปิดร้านค้าออนไลน์ เพื่อหวังศึกษาวิธีการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เว็บไซต์ออนไลน์ระดับโลกอย่าง “อเมซอน” นอกจากนี้ยังได้เข้าฝึกงานในด้านสาขาที่เรียนที่ธนาคาร ทิสโก้ เมื่อจบการศึกษาทำให้ได้มีโอกาสค้นหาในสิ่งที่ตัวเองชอบ จึงได้เข้าโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาเดินทางไปสหรัฐอเมริกา ทำงานเป็นทั้งเด็กเสิร์ฟ แคชเชียร์ ที่สวนสนุกในสหรัฐ อยู่นาน 6 เดือน

            “ตอนนั้นบอกได้เลยว่า ตาลยังไม่ได้สนใจว่าเราจะต้องเข้ามาทำงานที่บริษัทของครอบครัว ก็เลยลองไปหาอะไรทำก่อน สัก 6 เดือนก็กลับมา พอกลับมาก็ได้เข้าไปศึกษาดูงานที่โรงงานของบริษัทก่อน จากนั้นก็ศึกษาในหลายๆ ด้าน ทั้งการผลิต คิวซี และด้านการตลาด จนมาลงตัวที่ฝ่ายการตลาด ซึ่งบอกได้เลยว่าชอบงานนี้ และคิดว่าเหมาะกับความเป็นตัวเรามากที่สุด เลยได้มาลงเอยที่นี่ แล้วก็ได้รับมอบหมายภารกิจแรกในการขยายตลาดไปกัมพูชา ซึ่งก็ศึกษาหาข้อมูลด้วยตัวเองก่อนมานาน จนมาเข้าโครงการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (YEN-D) และได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มกัมพูชา ซึ่งโครงการนี้เองก็ทำให้เราได้รู้จักเพื่อนๆ มากขึ้น”

            ตาล เล่าอีกว่า การมาเริ่มทำงานที่บริษัทของครอบครัว ส่วนหนึ่งก็เพราะได้วางแผนไว้ว่าจะเรียนต่อระดับปริญญาโท จึงต้องการเข้ามาศึกษา หาข้อมูลดูว่าจะเรียนต่อทางด้านใดดีเพื่อจะสามารถนำความรู้มาช่วยขยายธุรกิจของครอบครัวด้วย ตอนนี้สรุปได้แล้วว่าจะเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจ ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการเตรียมตัวสอบเข้าเรียน โดยเลือกที่เรียนไว้ 2 ที่ คือที่มหาวิทยาลัยมหิดล และที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ ส่วนการที่วางแผนจะเรียนต่อในประเทศ ก็เพราะว่าอยากจะช่วยงานที่ได้รับมอบหมายในขณะนี้ไปด้วย

            อย่างไรก็ตาม หลังจากเรียนจบปริญญาโทวางแผนไว้ว่าอยากจะลองออกไปทำงานหาประสบการณ์ที่บริษัทอื่นสัก 2-3 ปีก่อน โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อดูว่าเขาทำการตลาดสินค้าอย่างไร และนำความรู้ต่างๆ มาปรับใช้และช่วยงานที่บริษัทของเรา นอกจากนี้ การอยากออกไปหาประสบการณ์ที่อื่นก่อน ก็เพราะว่าบางทีเราทำงานในฐานะลูกสาว ทำให้บางคนรู้สึกเกรงใจเรา ไม่กล้าสอนงาน ไม่กล้าว่า จะมีก็แต่คุณพ่อ และพี่ชาย ทั้งๆ ที่เราก็ไม่อยากให้เขาเกรงใจเรา เลยคิดอยากไปเป็นลูกน้องคนอื่นก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่

            “และเมื่อกลับมาก็อยากทำด้านตลาดต่างประเทศเหมือนเดิม เพราะคิดว่าการที่เราออกไปทำตลาดต่างประเทศด้วยตัวเอง ในฐานะที่เราเป็นลูกสาว จะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่บริษัทได้พอสมควร”

            ตาล ยังให้ความเห็นถึงโอกาสของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันด้วยว่า การทำธุรกิจสมัยนี้ไม่ได้ยากเหมือนสมัยก่อน เพราะว่ามีสื่อออนไลน์ มีมีเดียต่างๆ ที่ทำให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก รวมถึงการขนส่ง ก็สะดวกรวดเร็ว ทำให้ทุกคนมีโอกาสเป็นเจ้าของธุรกิจ จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้ธุรกิจเอสเอ็มอีเกิดขึ้นมาง่ายมาก แต่อาจจะไม่ใหญ่โต แต่ทุกคนก็ต้องเติบโตมาจากการเป็นธุรกิจเล็กๆ ก่อนทั้งนั้น ก็ให้ลองผิดลองถูกกันไป สำหรับตัวเองก็มีความฝันที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเองเช่นกัน ที่นอกเหนือจากงานประจำ ซึ่งด้วยความที่เป็นคนรักสัตว์ จึงคิดอยากจะเปิดคาเฟ่สำหรับสัตว์ แต่ตอนนี้ยังเป็นเพียงแพลนที่ตั้งใจไว้เท่านั้น

            “สำหรับตัวตาลเองยังไม่เรียกว่าประสบความสำเร็จ แต่ก็อยากบอกสำหรับคนรุ่นใหม่ อยากให้กำลังใจว่าหากเราทำอะไรแล้วมันยังไม่เวิร์ก ก็ขออย่าเพิ่งท้อ เพราะเชื่อว่าเดี๋ยวโอกาสก็จะเข้ามา เราอาจจะเดินๆ ไปไหนแล้วก็เห็นว่าตรงนี้น่าจะทำการตลาดได้ เราก็หยิบขึ้นมาทำ หรือทำในสิ่งที่ชอบ อย่างน้อยเราก็ได้สนุกไปกับมัน แม้จะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิดไว้ แต่เมื่อได้ทำในสิ่งที่ชอบ อย่างน้อยเราก็มีความสุขแล้ว”