
รวบ2คนร้ายฆ่าข่มขืน2พี่น้องถ่วงน้ำศรีสะเกษ3ปีก่อน
รวบแล้ว 2 คนร้ายฆ่าข่มขืน 2 พี่น้องนักเรียนเมืองศรีสะเกษเมื่อปี 2549 หลังผลตรวจดีเอ็นเอ พิสูจน์ชัด คราบอสุจิ-ขนเพชรมัดตัวแน่น คนแรกหนีไปบวชต้องจับสึกกลางพรรษา อีกคนเป็นพลทหาร แม้นทั้งคู่ให้การปฏิเสธ ว ด้านผู้ว่าฯเผยเหตุที่คดีล่าช้าเหตุมีคนมีสีขวางแลกผลป
จากกรณี 2 พี่น้อง อายุ 14 ปี และ อายุ 10 ปี (อายุขณะนั้น) ถูกคนร้ายข่มขืนแล้วฆ่าตายภายในบ้านพัก ม.8 ต.นิคมพัฒนา อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ โดยหลังจากข่มขืนเสร็จกิจแล้วได้ใช้ไม้หน้าสาม กระหน่ำตี 2 พี่น้องจนเสียชีวิตแล้วนำเอาศพไปซ่อนไว้ในหนองน้ำข้างบ้านโดยใช้ท่อนไม้ทับร่างเหยื่อไว้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญสร้างความตระหนกตกใจให้กับชาบ้านระแวกนั้นอย่างมากโดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2549 ที่ผ่านมา
ล่าสุดเมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ (29 ก.ค.) ที่วัดกวางขาว ต.นิคมพัฒนา อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ร.ต.ท.ไพรวัลย์ อายุวงษ์ หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ภ.จว.ศรีสะเกษ พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ ตร.นปพ. ร่วมกับตำรวจสภ.ปรือใหญ่ และชุดเฉพาะกิจ ภ.จว.ศรีสะเกษ ได้นำหมายจับของศาล จ.ศรีสะเกษ ลงวันที่ 28 ก.ค. 2552 ไปทำการจับกุมพระประสิทธิ์ สิทธิโก หรือพระอู๊ด ชื่อจริงคือนายประสิทธิชัย นนทะพันธ์ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 28/1 ม.8 ต.นิคมพัฒนา อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งตกเป็น 1 ในผู้ต้องหาคดี ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี และ 13 ปี โดยเจตนาเมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2549
ขณะเข้าจับกุมพระประสิทธิ์ซึ่งมาบวชเป็นพระลูกวัดดังกล่าวตั้งแต่วันเข้าพรรษาที่ผ่านมาพอเห็นตำรวจได้พยายามที่จะวิ่งหลบหนีออกไปทางด้านข้างวัดแต่ถูกเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมรวบตัวไว้ได้ก่อน ซึ่งเบื้องต้นพระประสิทธิ์ไม่ยอมรับสารภาพ อ้างว่าไม่รู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอไปสู้คดีที่ชั้นศาล เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ควบคุมตัวไปมอบให้ พ.ต.ท.พงษ์พันธ์ พลวงษ์ศรี สารวัตรใหญ่ สภ.ปรือใหญ่ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย หลังจากสอบสวนเบื้องต้นแล้วผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพจึงได้ควบคุมตัวพระประสิทธิชัย ไปทำการสึกที่วัดนิคมสายเอก ต.นิคมพัฒนา ซึ่งอยู่ติดกับ สภ.ปรือใหญ่ แล้วนำกลับมาฝากขังไว้ที่ สภ.ปรือใหญ่เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พ.ต.ท.พงษ์พันธ์ พลวงษ์ศรี สารวัตรใหญ่ สภ.ปรือใหญ่ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า คดีนี้ มีผู้ต้องหา 2 คนประกอบด้วย นายประสิทธิชัย ซึ่งหนีคดีมาบวชเป็นพระและ พลทหารสุนทร หรือฮุย แต้มงาม อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33 ม.8 ต.นิคมพัฒนา อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งทั้ง 2 คนได้ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายศาลคดีดังกล่าวหลังจากที่ได้นำตัวผู้ต้องสงสัย จำนวนประมาณ 50 คน มาทำการสอบสวน พร้อมทั้งนำเอาเนื้อเยื่อ เส้นผม ขนเพชร ไปทำการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ เพื่อเปรียบเทียบกับเส้นผม ขนเพชร ที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ โดยส่งไปตรวจที่กองพิสูจน์หลักฐาน สถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งผลจากการตรวจดีเอ็นเอ พบว่า ตรงกับดีเอ็นเอ.ของผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย
ดังนั้น ตนจึงได้นำเอาพยานหลักฐานไปขอหมายจับจากศาล จ.ศรีสะเกษ เพื่อทำการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ส่วนผู้ต้องหาอีก 1 คนคือ พลทหารสุนทรนั้น ขณะนี้ไปเป็นทหารเกณฑ์อยู่ที่ กองบริการศูนย์การทหารม้า สังกัดจังหวัดทหารบกสระบุรี ซึ่งตนได้ประสานงานกับ ตร.สภ.เมืองสระบุรี โดยได้ส่งหมายจับไปให้เพื่อให้ไปทำการจับกุมตัว พลทหารสุนทร มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปแล้ว
นายประสิทธิชัย กล่าวว่า ตนไม่รู้เรื่องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะขณะเกิดเหตุตนได้ไปนั่งดื่มเหล้าอยู่กับเพื่อนที่ร้านค้าในหมู่บ้านห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 2 กม. และได้เมาหลับอยู่ที่บ้านเพื่อน พอรุ่งเช้าจึงรู้ข่าวการฆ่ากันตายในหมู่บ้าน น้าใหญ่ซึ่งเป็น ส.อบต.นิคมพัฒนา เป็นผู้แจ้งข่าวให้ตนรู้คนแรกและบอกว่าให้ตนไปนอนเป็นเพื่อนยายเซียง ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ที่บ้านอยู่ติดกับที่เกิดเหตุ ซึ่งตนขอปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนร่วมรู้เห็นกับเหตุการณ์ฆ่าข่มขืนเด็กทั้ง 2 คนแต่อย่างใด และไม่รู้ว่าทำไมตำรวจจึงมาจับกุมตน แต่อย่างไรก็ตนก็จะขอต่อสู้คดีเพื่อความเป็นธรรมและเพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ของตนเองอย่างเต็มที่ต่อไป
ด้านมารดาเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย กล่าวว่า หลังจากที่ตนได้สูญเสียลูกสาวทั้งสองคนไปตนก็พยายามทำงานเพื่อสังคมให้ลืมเรื่องราวร้าย ๆ นี้ให้ได้แต่ก็ไม่สามารถลืมได้ลงตลอดเวลาที่ผ่านมาตนไม่รู้เลยว่าใครที่เป็นฆาตกร และก็ไม่คิดว่าจะเป็นคนที่ทางจับเจ้าหน้าที่ตำรวจจับมานี้ เพราะเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจกันมาก่อน แต่ในเมื่อผลการตรวจพิสูทจ์ ตามหลักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าใช่ ตนก็คงต้องเชื่อตามนั้น
พล.ต.ต.สมพงษ์ ทองวีระประเสริฐ ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษ กล่าวว่า โดยปกติ ในทางคดีเราไม่ได้อะไรจากคำพูดของผู้ต้องหาอยู่แล้ว แต่ส่วนของผลการตรวจทางวิทยาศาสตร์จากกองพิสูทจ์หลักฐาน สถาบันนิติเวชวิทยา จะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการเอาผิดคนร้ายคดีต่าง ๆได้ สำหรับคดีดังกล่าวแม้ผู้ต้องหาจะยังไม่ยอมรับสารภาพก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะปฏิเสธหรือหาทนายไปต่อสู้กันในชั้นศาล แต่หากรับสารภาพโทษหนักก็จะเป็นเบา
ด้านนายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีสะเทือนขวัญ สร้างความหวัดหวั่นสะพรึงกลัวให้ชาวบ้านระแวกที่เกิดเหตุเป็นเวลาหลายวัน แต่ที่ไม่เป็นข่าวคึกโคมเนื่องจากวันเกิดเหตุคือวันที่ 18 ก.ย. ปี 49 พอรุ่งเช้าวันที่ 19 ก.ย.ก็เกิดการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลทำให้ข่าวรัฐประหารกลบข่าวนี้ไป และหลังจากข่าวเงียบหายมานาน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมาตนได้รับหนังสือร้องเรียนจากมารดาผู้เคราะห์ร้ายทั้งสองคนว่า ทำไมคดีไม่มีความคืบหน้า ตนจึงได้ปรึกษากับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดยท่านพล.ต.ต.สมพงษ์ ทองวีระประเสริฐ ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษ เพื่อหารือเกี่ยวแนวทางการดำเนินคดีดังกล่าว จึงทราบว่าที่คดีล่าช้าเพราะมีข้าราชการบางคนอยู่เบื้องหลังและหาผลประโยชน์จากผู้ต้องหาเพื่อแลกกับการหลุดพ้นคดี ซึ่งตนรู้ตัวแล้วว่าเป็นใครแต่ขอเก็บไว้เป็นความลับ ซึ่งข้าราชการที่ว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอให้สบายใจได้ สำหรับข้าราชการคนดังกล่าวหากได้ยินที่ตนพูดแล้วก็ขอให้มาสารภาพผิดกับตนโดยด่วน เพื่อโทษหนักจะได้เป็นเบา และตนขอชมเชยตำรวจชุดจับกุมทุกนายที่ติดตามดำเนินคดีมาอย่างต่อเนื่องจนนำมาสู่การจับกุมผู้ต้องหาในวันนี้
รวบพลทหารมีเอี่ยวฆ่าข่มขืนนักเรียน2พี่น้อง
ต่อมาเวลา 18.00 น. พ.ต.ท.พงศ์พันษ์ ได้รับการประสานงานจากตำรวจชุดสืบสวนของสภ.ปรือใหญ่ที่นำหมายศาลจังหวัดศรีสะเกษเดินทางไปที่กองร้อยบริการศูนย์การทหารม้า สังกัดจังหวัดทหารบกสระบุรี เพื่อไปขอรับตัวพลทหารสุนทร ผู้ต้องหาอีกรายมาดำเนินคดีหลังจากที่ศาลจังหวัดศรีสะเกษออกหมายเรียกในคดีเดียวกัน
แต่หลังจากที่เดินทางไปถึงกองร้อยบริการฯดังกล่าวได้รับแจ้งว่า พลทหารสุนทร ได้ถูกปล่อยตัวกลับบ้านเพื่อมาพัก พ.ต.ท.พงศ์พันษ์ จึงได้สั่งการให้ตำรวจชุดเฉพาะกิจ ประกอบตำรวจชุดกลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.ศรีสะเกษ ตำรวจชุดสืบ สภ.ขุขันธ์และ สภ.ปรือใหญ่ ได้กระจายกำลังออกค้นหา ซึ่งปรากฏว่าตำรวจกลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.ศรีสะเกษ สามารถติดตามจับกุมตัว พลทหารสุนทร ได้ที่บริเวณรอยต่อระหว่างบ้านคะยอ และบ้านโคกโพน ต.กันทรารมย์ อ.ขุขันธ์ ห่างจาก สภ.ปรือใหญ่ประมาณ 15 กม.ขณะนั่งตั้งวงดื่มสุราอยู่กับเพื่อน
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แสดงตัวพร้อมกับนำหมายศาลเข้าจับกุมพลทหารสุนทร และนำตัวมาส่งมอบให้ พ.ต.ท.พงศ์พันษ์ พลวงษ์ศรี สวญ.สภ.ปรือใหญ่ ทำการสอบสวนพร้อมแจ้งข้อกล่าวหา แต่พลทหารสุนทรได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยพ.ต.ท.พงศ์พันษ์ ได้ลงบันทึกคำให้การไว้เป็นหลักฐาน
จากนั้นตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาไปไว้ที่ห้องควบคุมตัวซึ่งก่อนหน้านี้ตำรวจได้ทำการควบคุมตัวนายประสิทธิชัย ผู้ต้องหาคดีเดียวกันไว้ก่อนแล้ว และจะได้ทำการสอบพยานหาหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายต่อไป