ข่าว

พ่อค้า กับ พระยาเลี้ยง

พ่อค้า กับ พระยาเลี้ยง

01 มี.ค. 2559

ขมน้ำตาล หวานบอระเพ็ด : พ่อค้า กับ พระยาเลี้ยง : โดย...พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ

 
                      คำโบราณที่กล่าวเอาไว้ว่า “สิบพ่อค้า ไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง” มีความหมายว่า พ่อค้าสิบคนแม้ร่ำรวยและได้รับความเคารพนับถือไม่เท่ากับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หนึ่งท่าน เพราะพ่อค้าวาณิชในสมัยโบราณล้วนแต่ต้องพึ่งบารมีของผู้มีอำนาจ
 
                      ว่ากันว่าในประเทศญี่ปุ่นสมัยโบราณแบ่งคนออกเป็นสี่ชนชั้น ชนชั้นสูงที่สุดคือซามูไรนักรบ ซึ่งหมายรวมถึงขุนนางและโชกุนด้วย เพราะมีกำลังและมีฝีมือในการสู้รบ สามารถปกป้องคุ้มครองบ้านเมือง และประชาชนให้พ้นจากโจรผู้ร้ายและศัตรูได้ จึงได้รับการยกย่องและความเคารพจากประชาชนทุกเหล่าชั้น นั่นย่อมหมายถึงการได้รับผลประโยชน์เป็นเครื่องเซ่นหรือสินจ้างในรูปแบบต่างๆ ด้วย
 
                      ชนชั้นที่รองลงมาจากนักรบหรือซามูไรคือ บรรดาศิลปิน เพราะถือว่าคือผู้ที่ขับกล่อมทำให้คนทั้งหลายได้เพลิดเพลินมีความสุข อีกทั้งศิลปินส่วนใหญ่ยังได้ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจมากกว่าชนชั้นอื่นๆ จึงน่าจะเท่ากับว่าสามารถเป็นคนกลางช่วยประสานงานให้แก่พ่อค้าวาณิช ในการที่จะเข้าไปพบหากลุ่มอำนาจได้ด้วยก็เป็นได้ ถัดจากนั้นลงมาจึงเป็นชนชั้นเกษตรกรเป็นอันดับที่สาม เพราะเขาถือว่าเกษตรกรเป็นชนชั้นที่หาอาหารมาเลี้ยงคนทั่วไป จึงควรได้รับความเคารพนบนอบอย่างรู้สำนึกในบุญคุณ ชนชั้นที่สี่ซึ่งถือเป็นชนชั้นสุดท้ายในสังคมคือพ่อค้า เพราะถือว่าพ่อค้าคือผู้เอาประโยชน์จากคนทุกชนชั้น
 
                      จะเห็นได้ว่า การเป็นพ่อค้าในยุคเก่าก่อนไม่ใช่เรื่องง่าย ต่างจากในยุคปัจจุบันนี้ที่พ่อค้าหรือนักธุรกิจ กลับกลายมาเป็นผู้มีอำนาจหรือทรงอิทธิพลเหนือคนในวงการอื่นๆ เพราะโลกสมัยนี้ถือว่าเงินหรือทรัพย์สินคืออาวุธที่ทรงอำนาจมากที่สุด
 
                      ประเทศที่เจริญและก้าวหน้าจึงพยายามสร้างคนให้เป็นนักธุรกิจหรือพ่อค้าที่เก่ง ตัวอย่างเช่นประเทศสิงคโปร์ ที่สร้างประชาชนให้เป็นคนที่ทำธุรกิจการค้าเก่งจำนวนมาก สิงคโปร์จึงมีความมั่งคั่งและมั่นคงทางเศรษฐกิจที่ทุกประเทศในโลกนี้ให้การยอมรับ สถานศึกษาในทุกระดับชั้นของสิงคโปร์มุ่งสอนให้คนรู้จักการทำธุรกิจหรือหาเงินอย่างจริงจัง
 
                      ในขณะที่ประเทศไทยของเราเองกลับยังยึดถือการสอนแบบโบราณ ในลักษณะให้เด็กท่องจำ ตัวอย่างเช่นเรื่องการหาทุนเพื่อไปทำงานสนองตอบชุมชนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ที่รู้จักกันในนามของการออกค่ายอาสาพัฒนา ทำไมอาจารย์ที่ปรึกษาหรือสถานศึกษาทั้งหลายจึงไม่รู้จักสอนคนให้ทำเอกสารโครงการในรูปแบบของธุรกิจ จากนั้นจึงนำไปเสนอยังผู้ประกอบธุรกิจการค้าต่างๆ เพื่อขอการสนับสนุน เพราะผู้ประกอบธุรกิจการค้า หากเขาเห็นว่าการจ่ายเงินเพื่อเข้าร่วมโครงการ แล้วยังประโยชน์คืนมาให้แก่เขาได้บ้าง เขาย่อมยินดีที่จะจ่ายเงินจำนวนนั้น
 
                      เด็กนักศึกษาก็จะได้เรียนรู้ถึงกลไกของการหาเงินเพื่อมาทำงาน เมื่อสำเร็จการศึกษาไปแล้วจะได้นำไปประยุกต์ใช้ ไม่ต้องกลายเป็นนักธุรกิจหรือพ่อค้าที่มีแต่คอยจะร้องขอ ให้ภาครัฐหรืองค์กรใดๆ มาคอยช่วยเหลือตลอดไป อยากสร้างคนให้เป็นพ่อค้าที่มีความสามารถ สร้างฐานะให้ตนเองและประเทศชาติได้มั่งคั่งมากกว่าเป็นพระยาเลี้ยง ลองปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนของประเทศเราดูกันบ้างดีไหมครับ
 
 
 
------------------------
 
(ขมน้ำตาล หวานบอระเพ็ด : พ่อค้า กับ พระยาเลี้ยง : โดย...พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ)