ข่าว

'นักบิน'ทิ้งบอมบ์ฉะ'พาที'หูเบา!

'นักบิน'ทิ้งบอมบ์ฉะ'พาที'หูเบา!

16 ก.พ. 2559

นักบินนกแอร์ที่ถูกไล่ออกดับเครื่องชน ยันไม่ได้เป็นคนก่อหวอดประท้วง อัด 'พาที' ฟังข้อมูลด้านเดียว แจงเหตุหยุดบินเพราะป่วย-จิตใจไม่พร้อม ลั่นไม่ขอพาผู้โดยสารไปตาย

 
                      16 ก.พ. 59  ความคืบหน้ากรณี นายพาที สารสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด เซ็นคำสั่งลงโทษนักบินจำนวน 10 คน โดยมีคำสั่งพักงาน 7 คน ตั้งกรรมการสอบ 2 คน และไล่ออก 1 คน อ้างว่านักบินทั้งหมดเป็นกลุ่มผู้ประท้วงจนเป็นเหตุทำให้สายการบินนกแอร์ต้องยกเลิกให้บริการ 9 เที่ยวบิน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ส่งผลให้ผู้โดยสารตกค้างกว่า 1,800 คน  ล่าสุด วันนี้ (16 ก.พ.) นายศานิต คงเพชร ผู้จัดการแผนกรักษามาตรฐานการบิน และนักบินผู้ควบคุมอากาศยานนกแอร์ กัปตันสายการบินนกแอร์ที่ถูกไล่ออก ได้ออกมาชี้แจงในเรื่องดังกล่าว
 
                      นายศานิต กัปตันฝ่ายบริหารที่ถูกบริษัทนกแอร์ไล่ออก เปิดเผยว่า วันนี้ขอชี้แจงในเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ก่อนหน้านี้มีอาการป่วยตั้งแต่วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยพักฟื้นอยู่ที่บ้าน จ.ระยอง แต่มีพนักงานที่เป็นน้องในบริษัทโทรศัพท์มาบอกให้มาช่วยบินในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จึงเดินทางมา แต่ปรากฏว่าในตารางบินวันนั้นมีนักบินหลายคนหยุดบินกัน ทำให้สายการบินประกาศยกเลิกบิน แต่ต่อมาปรากฏข่าวลือว่าเป็นหัวโจกในการนำนักบินประท้วง เมื่อทราบข่าวจึงตัดสินใจไม่ขึ้นบิน เพราะจิตใจไม่อยู่ในภาวะที่จะขึ้นบินได้ เนื่องจากเกิดความเครียดในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งยังเป็นไข้ด้วย จึงคิดว่าเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารไม่ควรขึ้นบิน จากนั้นได้แจ้งน้องในบริษัทว่า ไม่สามารถขึ้นบินได้ แม้ตอนนั้นได้เซ็นชื่อขึ้นบินแล้ว แต่ต่อมาในเช้าวันรุ่งขึ้นกลับถูกผู้บริหารไล่ออกในฐานะเป็นผู้ก่อหวอดนำนักบินประท้วง
 
                      "ผมยอมให้ประชาชนด่าอย่างสาดเสียเทเสียที่ไม่ยอมขึ้นบิน เพราะส่วนตัวมีสามัญสำนึกเพียงพอว่า ขณะนั้นไม่มีความสามารถที่จะพร้อมขึ้นบิน เนื่องจากไม่สบายและยังมีความเครียดในเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวโจกในการประท้วง จึงตัดสินใจไม่บิน แม้ว่าจะได้เซ็นชื่อแล้ว อยากให้ลองคิดดูว่า ผมไม่ยอมพาคนไปตายหรอก จะด่าว่าก็เชิญ หากผมขึ้นบินไปด้วยจิตใจเช่นนั้นผู้โดยสารหลายร้อยชีวิตจะเป็นเช่นไร ผมต้องรับผิดชอบต่อชีวิตผู้โดยสาร ทำไมไม่มองตรงนี้บ้าง"
 
                      เมื่อถามย้ำว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การประท้วง นายศานิตกล่าวว่า ไม่ใช่การประท้วงแน่นอน เพราะหากเป็นการประท้วงหยุดบินจริงต้องเลิกบินทั้งหมดกว่า 120 เที่ยวบิน ไม่ใช่มาหยุดแค่ 9 เที่ยวบิน เพราะถ้าคิดจะประท้วงนกแอร์เจ๊งแน่นอน อีกทั้งก่อนเกิดเหตุการณ์วุ่นวายก็ได้แจ้งล่วงหน้าไปแล้วว่า ไม่สามารถขึ้นบินได้ ซึ่งบังเอิญนักบินที่เหลืออีก 7 คนก็เกิดปัญหาในลักษณะนี้เช่นกันในเรื่องความเครียดที่ถูกกล่าวหาว่ารวมตัวประท้วง ทำให้กลุ่มนักบินไม่ยอมขึ้นบิน
 
                      "สิ่งที่คุณพาทีบอกว่าเกิดจากปัญหาภายในมันไม่ใช่เรื่องจริง อยากจะบอกว่า คุณพาทีรับข้อมูลด้านเดียวเช่น ไม่ผ่านมาตรฐานการบิน อยากจะบอกว่า นักบินทุกคนมีความสามารถ และวุฒิภาวะในการบินตามมาตรฐาน ส่วนที่คุณพาทีบอกว่าเป็นเรื่องของโครงสร้างก็ไม่เป็นความจริง เพราะกลุ่มผู้บริหารที่ถูกคำสั่งเปลี่ยนแปลงมีแค่นักบินที่เป็นครูฝึกแค่ 2 คน และไม่เกี่ยวกับผม ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องนี้แน่นอน แต่อยู่ดีๆ มากล่าวหากัปตันเป็นหัวโจกนำนักบินประท้วงคงไม่ถูกต้อง ยืนยันว่า เราทุกคนรักในนกแอร์ เพราะนกแอร์ช่วยให้เรามีทั้งบ้าน รถยนต์ ที่ดิน และวิชาชีพในการทำกิน พวกเราอยู่กับนกแอร์มานับสิบปี ผูกพันกันมาตลอด แม้ก่อนหน้านี้มีสายการบินอื่นพยายามซื้อตัวพวกเราก็ไม่ไป จะมาบอกว่าเราทุบหม้อข้าวตนเอง ผมว่าไม่จริง ผมจะมาทุบทำไมกับองค์กรที่เราผูกพัน"
 
                      เมื่อถามว่า กลัวหรือไม่ว่าหากถูกไล่ออกจากนกแอร์จะไม่มีสายการบินอื่นรับเข้าทำงาน นายศานิตกล่าวว่า ส่วนตัวรู้สึกเฉยๆ เพราะไม่กลัว เนื่องจากวงการบินมันค่อนข้างจะแคบ ดังนั้นใครเป็นใคร นิสัยอย่างไร คนในวงการจะรู้กันดีว่าคนคนนั้นรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานดีหรือไม่ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกกลัว เพราะรู้ดีว่าเป็นคนอย่างไร อย่างไรก็ตามส่วนตัวอยากจะบอกว่า ไม่รู้สึกโกรธนายพาที เพราะเข้าใจในฐานะเป็นผู้บริหาร อีกทั้งส่วนตัวก็รู้จักกันดี ก่อนหน้านี้ยังเคยทะเลาะกับนายพาทีถึงขั้นจะต่อยกันมาแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะรู้ว่านายพาทีรับข้อมูลมาเพียงด้านเดียว จึงตัดสินใจไม่ถูกต้อง
 
                      ผู้สื่อข่าวรายงานภายหลังนายพาที สารสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด เข้าพบนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อชี้แจงกรณีที่นักบิน 8 คน ประท้วงส่งผลให้สายการบินนกแอร์ต้องหยุดบินเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ได้กล่าวยอมรับว่า ปัจจุบันสายการบินอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างภายในเพื่อยกระดับการทำงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยในการปฏิบัติการบิน (IOSA : IATA Operational Safety Audit) โดยได้ปรับโครงสร้างการทำงานของฝ่ายนักบินที่เดิมเคยควบตำแหน่งการทำงาน 2 ตำแหน่ง คือ เป็นฝ่ายบริหาร และเป็นนักบิน แต่เนื่องจากบริษัทมีแนวทางดึงพันธมิตรเข้ามาร่วมวางโครงสร้างใหม่ จึงจะปรับให้นักบินบางส่วนที่ทำงานควบตำแหน่งไปทำงานเพียงตำแหน่งเดียวที่ถนัด และคาดว่าสาเหตุดังกล่าวจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้นักบินบางกลุ่มเกิดความไม่พอใจ และประท้วงไม่ทำการบิน
 
                      "ตอนนี้นกแอร์ต้องการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้เป็นระดับสูงสุดตามหลักของ IOSA และองค์การความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรป หรือเอียซ่า (EASA) กระบวนการต่างๆ จึงต้องปรับการทำงานใหม่ ซึ่งนกแอร์ได้พาร์ทเนอร์ที่พร้อมเข้ามาช่วยตรวจสอบ ดังนั้นจากเดิมที่เราเคยใช้นักบินบางกลุ่มทำงานซ้อนทั้งปฏิบัติการบินและรับหน้าที่ตรวจสอบ จึงได้ปรับเปลี่ยนให้ทำการบินอย่างเดียว เพราะไม่อยากให้เป็นนักบินที่ตรวจสอบนักบินด้วยกัน รวมทั้งที่ผ่านมาเคยตรวจพบว่ามีนักบินบางกลุ่มที่บินเกินชั่วโมงกำหนด เมื่อตรวจเจอจึงให้หยุดบินทันที ทำให้เรากลับมาคิดว่า ต้องมีการหมกเม็ดเรื่องแบบนี้อีก ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่เราต้องการยกระดับมาตรฐาน"
 
                      นายพาที กล่าวต่อว่า กรณีการขาดแคลนนักบิน ยอมรับว่าที่ผ่านมามีสายการบินอื่นเข้ามาดึงนักบินของนกแอร์ไปร่วมงานค่อนข้างมาก ทำให้นกแอร์ประสบปัญหาขาดแคลนนักบินมาโดยตลอด พร้อมทั้งเปิดรับสมัครนักบินใหม่ๆ เข้ามาร่วมงานทดแทน และยังปรับลดเที่ยวบินให้สอดคล้องกับจำนวนนักบินด้วย อย่างไรก็ตาม เดือนมีนาคม - เมษายนนี้ บริษัทนกแอร์จะรับนักบินใหม่เข้ามาร่วมงานประมาณ 20 - 30 คน ซึ่งมั่นใจว่าจำนวนนักบินที่รับเพิ่มเข้ามาจะเพียงพอกับการบริหารธุรกิจ
 
                      นายพาที กล่าวอีกว่า ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างสอบสวนความผิด หากพบว่าผิดวินัยที่เป็นผลกระทบบริษัทต้องตัดสินยกเลิกการจ้างงาน คาดว่าวันที่ 17 กุมภาพันธ์นี้ จะได้ข้อสรุปถึงสาเหตุการหยุดงาน สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาปัจจุบันนั้น บริษัทได้ปรับลดเที่ยวบินประมาณ 10 - 15% พร้อมทั้งส่งต่อผู้โดยสารไปยังสายการบินอื่นในรูปแบบเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลท์) โดยคาดว่าจะต้องส่งต่อผู้โดยสารจนถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์นี้ ทั้งนี้ยอมรับว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นผลกระทบต่อภาพรวมการดำเนินธุรกิจบ้าง แต่คาดการณ์ว่า ในส่วนของรายได้จะยังเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา เพราะปัจจุบันมีอัตราบรรทุกผู้โดยสาร (โหลดแฟกเตอร์) เฉลี่ยอยู่ที่ 93% และยังมีแนวโน้มสูงอย่างต่อเนื่อง
 
                      ขณะที่ นายอาคม กล่าวว่า ปัญหาของอุตสาหกรรมการบินที่ขาดแคลนนักบินในปัจจุบันต้องแยกออกเป็น 2 ประเด็น คือ 1.ไม่อยากให้ใช้นักบินกับการทำตำแหน่งบริหารไปร่วมกัน เพราะจะกระทบกับเวลาการทำงาน ดังนั้นจึงอยากให้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน และ 2.เรื่องของจำนวนชั่วโมงบินที่พบว่า ปัจจุบันหลายสายการบินใช้นักบินทำการบินเกินชั่วโมงกำหนด ขณะนี้ทุกสายการบินจะต้องส่งรายงานบันทึกการบินของนักบินในสังกัดให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เพื่อตรวจสอบชั่วโมงบินอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นหากตรวจเจอนักบินของสายการบินใดทำการบินเกินกำหนดจะสั่งพักงานทันที
 
                      "สัปดาห์หน้ากระทรวงจะเชิญ 41 สายการบินเข้ามาหารือร่วมกัน เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องการแผนธุรกิจที่จะต้องบริหารความเสี่ยง และจะต้องมีแผนช่วยเหลือสายการบินอื่นเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินด้วย นอกจากนี้กระทรวงจะกำชับสายการบินทั้งหมดด้วยว่าจะต้องสำรองนักบินไว้ เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินนักบินไม่สามารถทำการบินได้ก็จะไม่เกิดเหตุกระทบกับเที่ยวบิน และผู้โดยสาร"