
วัยหนุ่มของFN Outletสุขุมรอบคอบคิดช้าทว่าแม่นยำ
วัยหนุ่มของFN Outlet สุขุมรอบคอบ คิดช้าทว่าแม่นยำ : คมคิดธุรกิจนิวเจน เรื่อง:ณุวภา ฉัตรวรฤิทธิ์ ภาพ: กุลพันธ์ ศิริพิมพ์อัมพร
นับเป็น 17 ปี ที่คนไทยคุ้นเคยกับการขับรถแวะเข้าศูนย์จำหน่ายสินค้าราคาย่อมเยาว์ย่านชานเมือง “เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอาท์เลท” (FN Factory Outlet) ในทุกๆ ครั้งที่เดินทางไปพักผ่อนต่างจังหวัด หรือได้เห็นป้ายเอาท์เล็ท FN ตัวใหญ่ดักรอระหว่างทางอยู่เสมอจนเป็นแลนด์มาร์คชินตาของท้องถนนชานเมือง ซึ่งที่มาของอาณาจักรสินค้าแห่งนี้เริ่มต้นนับหนึ่งจากแนวคิดพลิกแพลงของผู้บริหารใหญ่ ปรีชา ส่งวัฒนา กับการจัดสรรพื้นที่เล็กๆ เพื่อขายของระบายสินค้าแบบเซลส์กระหน่ำในยุคต้มยำกุ้งภาวะเศรษฐกิจตกต่ำสุดของเมืองไทย หวังทำรายได้สานต่อธุรกิจเสื้อผ้าและกระเป๋าของครอบครัวพอกู้วิกฤติให้พนักงานโรงงานยังมีรายได้บ้าง ผลลัพธ์คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคให้แสวงหาของถูกและดีจากย่านชานเมืองมากขึ้น จนถึงปัจจุบันจากเอาท์เลทเล็กๆ กลายเป็นสโตร์ขนาดยักษ์ 7 สาขา ที่มีเงินหมุนหลักล้านต่อวัน ภายใต้แรงหมุนของพายุลูกใหม่ “หนุ่ย” เบญจ์เยี่ยม ส่งวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จำกัด ที่พร้อมขับเคลื่อนต่อแบบผสมผสานหลักคิดจากเจนใหม่-เก่า มาบริหารเพื่อให้เกิดผลดีต่อองค์กรและผู้บริโภคยุคใหม่ให้ลงตัว
เรานัดพบกับผู้บริหารหนุ่มที่ตึกออฟฟิศใหม่เอี่ยม ย่านพระราม 9 เจ้าตัวรีบยิ้มแนะนำบ้านใหม่ว่าโครงสร้างที่นี่เป็นตึกเรียบง่าย โครงสร้างแข็งแรง ติดกระจกล้อมรอบ เน้นความเรียบง่ายด้วยดีไซน์โมเดิร์นสมัยใหม่ แต่แฝงความหมายความเป็นตัวตนของแบรนด์ที่สืบทอดกันมายาวนาน
“การทำงานของเราแต่ไหนแต่ไร จะใช้เวลาไปกับการคิดที่ถี่ถ้วนว่าจะทำอย่างไรให้ได้สินค้าที่ดี ต้นทุนน้อยที่สุด คำตอบคือต้องทำของดีเทลสวย ลวดลายไม่เยอะแยะเพื่อเข้าถึงทุกกลุ่มวัย ใช้งานได้นาน ทำให้ลูกค้ารู้สึกฉลาดเลือก ตึกนี้ก็เช่นกันครับ บางคนเข้ามาจะนึกว่ายังทำไม่เสร็จเพราะดูเป็นโครงๆ มีม่านน้อยมาก ห้องผมใช้แผ่นเหล็กขาวหรือฟินทำเป็นม่านกัน เน้นดีไซน์เรียบๆ จบในตัว ผนังไม่มีเคลือบสี ไม่ติดวอลล์เปเปอร์ เน้นใช้กระจกให้แสงไฟส่องถึงทุกห้อง เราเน้นแต่ทำโครงสร้างที่แข็งแรง เรียบง่ายอยู่ได้นานๆ เพราะเมื่อทำตึกใหญ่หากต้องมาทาสี เคลือบผนัง ติดวอลล์เปเปอร์ ตกแต่งให้สวยเท่าไหร่ทุนเราก็เพิ่มขึ้น กลายเป็นต้องเพิ่มราคาสินค้าเพื่อมาสร้างตึกใช่ไหมครับ คนซื้อก็ต้องมากระทบกับความฟุ่มเฟือยของเราอีกเลยไม่ทำดีกว่า นี่แหละหลักคิดเราต้องคิดแทนลูกค้าก่อนเสมอ”
การเติบโตมาพร้อมกับกิจการที่บ้านมาตั้งแต่วัยรุ่น จนตอนนี้ธุรกิจดำเนินมาจนย่างก้าวสู่วัยหนุ่ม ก่อเกิดการซึมซับเรียนรู้ต่อทายาทที่ได้เห็นความเป็นไปอย่างมีเหตุมีผลมาตลอด ไม่แปลกที่เมื่อถามถึงแนวคิดการทำงานแบบคนรุ่นใหม่ ผู้บริหารวัย 34 ปี คนนี้กลับมีไอเดียไม่พลุ่งพล่าน วาดฝัน เกินตัว เพราะเขาเชื่อและเห็นว่าแนวทางบริหารของพ่อนั้นแม่นยำและมั่นคงที่สุด
"ผมเชื่อทางของคุณพ่อเราถูกสอนมาอย่างครอบครัวเล็กๆ ในต่างจังหวัด ไม่มีสตางค์มากตั้งแต่เกิด ไม่มีเงินเหลือใช้เยอะ บ้านเราทำธุรกิจโดยหลักบริหารคนอย่างเดียว มีด้อยกว่าชาวบ้านมาก แต่ก็คิดให้ชนะคนอื่นตลอด ด้วยการทำอะไรต้องคิดเยอะๆ เพราะการคิดเป็นการสร้างงานที่แม่นยำ ราคาถูกสุด แต่ต้องแลกกับเวลาเยอะแต่นั้นแหละถ้าจะให้ได้ดีต้องคิดเยอะหน่อย จากนั้นมาทบทวน ทดลอง ลองแล้วใช่ก็ทำจริงจัง ลองแล้วไม่ใช่ก็เสียหายนิดหน่อยเอง จนตอนนี้องค์กรเรามีคนรุ่นใหม่มาบริหารงานเยอะ แต่ก็ยังคิดเยอะกันเหมือนเดิมครับ เพราะเราเห็นกับตาว่าคิดใช้เงินน้อยที่สุด ผลประโยชน์ดีที่สุด ยิ่งใช้เงินน้อยเท่าไหร่ราคาสินค้าก็จะถูก คนที่ได้คือคนซื้อ หลายคนถามว่าทำไมสินค้าเราถูก ผมก็ตอบว่าของถูกได้แน่นอน เพราะเราเข้าใจการผลิต เรารู้วิธีทำให้ประหยัดต้นทุนแล้วได้สินค้าคุณภาพดี สินค้าส่วนมากเราเข้าไปที่โรงงานเสนอให้เข้าผลิตแบบนี้เพื่อให้ต้นทุนที่น้อยที่สุด เช่น ระบุสีที่คนนิยม ไม่สั่งผลิตทุกสีให้ของเหลือข้างในสต็อกเสียกำไรไปเปล่าๆ ดังนั้นความคิดให้แม่นยำเป็นสิ่งที่เราถวิลหาที่สุด" คุณหนุ่มเล่าถึงหลักการบริหาร
เมื่อพูดถึงการเริ่มเข้าเรียนรู้งานในองค์กรใหญ่ของคุณพ่อ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยิ้มเล่าถึงการโดนปลูกฝังเรื่องค้าขายในตัวพี่น้องส่งวัฒนาที่เริ่มเกิดขึ้นในช่วงยุคเศรษฐกิจตกต่ำที่สุด เปิดโลกใบใหม่ให้หนุ่มสาวในบ้านได้สะสมความรู้สึกภูมิใจในการขาย พร้อมศึกษาความต้องการผู้บริโภคมาตลอดโดยแทบไม่ต้องเปิดดูรายงานความต้องการสินค้าในในฐานข้อมูลบ่อยๆ
"ห้างชานเมืองเราน่าจะเป็นเจ้าแรกที่ทำกันจริงจัง ตอนปี 2540 ช่วงนั้นผมเพิ่งเรียนอยู่ ม.ปลาย พี่สาวอีก 2 คนก็ยังเรียนอยู่ เศรษฐกิจไม่ดีจนห้างปิดตัวลงไปเยอะ เสื้อผ้าแบรนด์ฟลายนาวของคุณพ่อกับคุณอา (สมชัย ส่งวัฒนา) ก็มีที่ขายน้อยลง เลยต้องหามาระบายสินค้ากัน จะส่งของขายนอกประเทศก็ชะงัก ขายออกก็ชะลอ คุณพ่อท่านห่วงอย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรให้ลูกน้องในโรงงานยังมีงานมีเงินใช้ เลยตั้งโปรเจกท์แฟคเทอรี่ เอาท์เลท ขึ้นมาเพราะท่านเห็นแล้วว่าภาวะเงินไม่คล้องมือแบบนี้ผู้หญิงก็ยังอยากช็อปปิ้งนะ แต่อยากช็อปในราคาประหยัด เราก็เอาสินค้ามาขายในราคาถูกเริ่มทำที่โรงงานใน จ.เพชรบุรี เป็นสาขาแรก ขายในโรงอาหารของโรงงาน มีห้องพัดลมเล็กๆ พอให้แขวนราวเดินเลือกซื้อของได้ ขนาดเท่าห้องทำงานผมตอนนี้เลยครับ แล้วรอบนอกก็เป็นสต็อกสินค้าที่ถูกผลิตมาแล้วไม่มีที่จัดจำหน่ายวางไว้ เราลองเปิดขายแค่เสาร์-อาทิตย์ก่อน มีพนักงานออกไปโบกรถเหมือนวิธีขายร้านน้ำตาลสดข้างทาง โบกให้รถจอดแล้วเราก็บอกว่าข้างในโรงงานมีขายของเซลส์นะครับ ก็สมัยนั้นไม่มีโซเชียลมีเดีย ไม่มีเงินทุนมาโฆษณาเราก็ใช้วิธีบ้านๆ แบบนี้แหละครับ คิดน้อยๆ ก็ทำได้ แต่ถ้าคิดยากก็ไม่ได้ทำสักที สุดท้ายพอมั่นใจว่ามีคนก็เปิดขายทุกวัน พอเริ่มจะทำเป็นสโตร์ใหญ่ทุกวันหยุดคุณพ่อจะชวนลูกๆ ไปเที่ยวหัวหิน...ซึ่งไปไม่เคยถึงทะเลหรอก (หัวเราะ) มาหยุดที่เอาท์เลทเพชรบุรีตลอดทั้งวัน พี่สาวคนโตไปเป็นแคชเชียร์ พี่สาวคนกลางเป็นพนักงานขาย ส่วนผมถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่ขายของฝาก สมัยก่อนเราจะมีเศษผ้าเศษหนังจากการตัดเย็บคุณพ่อมีนโยบายเปลี่ยนของเหล่านี้ให้เป็นเงิน ก็เอามาเย็บเป็นกระเป๋าใส่เศษเงิน ราคาใบละ 30 กว่าบาท ผมกับลูกพี่ลูกน้องผู้ชายยืนขายกัน 2 คน แบบตลกๆ ขายไปก็เขินไป เชียร์ของก็ไม่เป็นครับ โดนคุณป้าลูกค้าแกล้งแซวกันตลอด พอขายเสร็จก็นับสต็อกเองว่าเหลือกี่ใบ คิดเงินถูกต้องไหม วันแรกผมทำเงินหายนะไม่ทอนเงินผิดก็จ่ายของผิด คุณพ่อก็ดุว่าสะเพร่า วันที่ 2 ขายใหม่ปรากฏว่าเงินเกินผมดีใจนะยิ้มกันแก้มแตกแต่คุณพ่อดุหนักกว่าเดิมอีก ท่านบอกว่าเงินเกินก็ผิดเท่ากับเราทอนลูกค้าไม่ครบลูกค้าเสียเปรียบ นั้นทำให้เราโดนปลูกฝังเรื่องการขาย เรียนรู้เข้าใจลูกค้ามาเรื่อยๆ ยิ่งขายก็ยิ่งสนุก ยิ่งมีความสุข ผมว่าฟิลลิ่งของการขายของประหลาดมากๆ ถ้ากล้าขาย ตอนได้จับเงินจะรู้สึกดีมากๆ ความหมายไม่ใช่แค่มีเงิน แต่รู้สึกถึงความน่าเชื่อถือ ความมั่นใจ การยอมรับ การเอาชนะ การมีตัวตน ซ่อนอะไรหลายๆ อย่างไว้มากมายเลยครับ ที่สำคัญยิ่งขายเราจะเห็นอะไรขายดี อะไรขายไม่ดี คนขายนี่แหละเป็นคนที่เข้าใจลูกค้ามากที่สุด เดี๋ยวนี้อาจจะมีการเก็บฐานข้อมูลลูกค้าอายุเท่านี้ซื้ออะไร แบบไหน แต่ถ้าเราไม่มีฐานก็ข้อมูลแบบนี้เราก็ไม่สนใจแล้วครับเพราะเราเห็นลูกค้ามาตั้งแต่ต้น"
เมื่อเข้ามารับตำแหน่งผู้บริหารหลังจบปริญญาโทด้านบริหาร จากมหาวิทยาลัยแบรดฟอร์ด สหราชอาณาจักร การเปลี่ยนแปลงในองค์กรก็เริ่มเกิดขึ้น โดยลูกชายเผยว่าคุณพ่อปรีชาให้พื้นที่ความคิดลูกๆ เต็มที่ จึงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ถูกบ้าง ผิดบ้างแต่ก็นับเป็นบทเรียนให้แก่กันทั้งสองรุ่นได้อย่างดี
“ยุคคุณพ่อเป็นคนที่ลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ตอนผมเพิ่งมาช่วยเราก็คิดว่าบางอย่างในองค์กรเชยไปไหม เช่น วิธีการจัดร้าน สมัยก่อนคุณพ่อจะเดินทางไปที่สาขาเรียกคนที่ขายของเก่งที่สุดมาถามว่าอะไรขายดี แล้วเริ่มจัดร้านใหม่ ก็เดินชี้ไปเอาอันนั้นมาวางตรงนี้ดีไหมไปทั่วสโตร์ 4,000-5,000 ตารางเมตร เริ่มจัดกัน 6 โมงเย็น ไปจบตีสองแล้วกลับบ้าน หรือโหดมากๆ ก็หกโมงเช้า เราจัดกับแบบนี้ทุกเทศกาลที่มีคนหยุดยาว สูตรนี้ผมเห็นแล้ววว่าเหนื่อยเมื่อก่อนมี 4 สาขาคุณพ่อก็ทำได้ไหว แต่ตอนนี้มี 7 สาขา ขยายไปทั้ง กาญจนบุรี พัทยา ปากช่อง สิงห์บุรี หัวหิน ศรีราชา จะไหวยังไง ก็แท็กทีมกับพี่ผู้บริหารอีกท่านตั้งแผนกที่จัดการเรื่องการจัดร้านให้เรา เพราะยุคนี้จะมีคนมีเรียนเรื่องการจัดดิสเพลย์โดยเฉพาะ ผลคือแต่ละสาขามีการจัดสโตร์ออกมาได้เร็วขึ้น แต่ภาพรวมที่ได้คือความพลาดครั้งยิ่งใหญ่ เป็นตลกร้ายนิดๆ นะครับ เพราะลูกค้ารู้สึกว่าจะไปเอฟเอ็นสาขาไหนก็เหมือนกันหมดเลยเดินไม่สนุกแล้ว เพราะเป็นแพลตฟอร์มเหมือนกันไปแล้วทุกสาขา ดังนั้นมาสาขานี้แล้วไม่ต้องไปอีกสาขานั้นก็ได้ ต่างจากแบบที่คุณพ่อทำมาในอดีตผู้บริโภคจะเข้าสาขาหนึ่งแล้วไปต่ออีกสาขาหนึ่ง ซึ่งจริง ๆ สินค้าเหมือนกันนะครับ แต่การโชว์ของความสะดวกในการเลือกหาไม่เหมือนกัน เหมือนที่เราเข้าใจว่าเสื้อผ้าย่านนี้ใส่แบบนี้ แต่คนในเมืองใส่อีกแบบถ้าเราอยากได้เสื้อผ้าแบบคนเมืองก็ต้องเดินทางไปซื้อในเมือง ทั้งๆ ที่ห้างก็มีเสื้อผ้าเกือบทุกแบบแหละ แล้วแต่ว่าจะเอาอะไรมาโชว์ตอบสนองสไตล์ของคนในพื้นที่มากกว่า พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้คนเก่าก็บอกว่าของใหม่ดีจริงหรือ ผมเองแทนที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราพัฒนา แต่เขากลับไปเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในทางที่เขาไม่ชอบหรือเปล่า เลยสรุปว่าในอดีตเรามีเรื่องราวที่ดีกว่ามีอารมณ์ของการล่าสมบัติต้องลุ้นว่าสาขานี้มีหรือเปล่า ส่วนแบบใหม่มีของดีที่มองง่ายหาง่าย ดังนั้นเราควรจะจัดร้านบางส่วนให้เหมาะกับอารมณ์การซื้อของสาขานั้นและมีกระบวนการที่รวดเร็ว เป็นการนำความรู้เก่ากับใหม่มาผสมกันให้ได้ประโยชน์สุด” ผู้บิหารหนุ่มเล่าถึงบทเรียน
ส่วนวิธีครองใจลูกค้าในแบบฉบับเอฟเอ็น คุณหนุ่ยเผยว่า ยังคงยึดหลักการเข้าใจผู้หญิง เพศที่เป็นกลุ่มลูกค้าของหลายผลิตภัณฑ์และมีอิทธิพลในการตัดสินใจเลือกซื้อของใช้ในครอบครัวมากที่สุด ต่อมาต้องต่อยอดความต้องการของลูกค้ากลุ่มอื่นๆ ไปเรื่อยๆ เช่น เมื่อพบว่ามีผู้ชายไม่น้อยที่มารอสาวๆ ช็อปปิ้งก็เพิ่มที่ให้ผู้ชายได้เลือกซื้อของเล็กน้อยๆ ทั้งเสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์ ส่วนบางบ้านมีเด็กมาด้วยจึงต้องมีโซนขายของใช้เด็ก และมีโซนของกินสำหรับทุกเพศวัยให้คุณพ่อ คุณลูก รวมถึงผู้สูงอายุ นั่งรอคุณผู้หญิงช็อปปิ้ง กลายเป็นการพัฒนาเพื่อตอบสนองลูกค้าที่มากันเป็นครอบครัวให้ดีที่สุด โดยเฉพาะเรื่องบริการ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีซื้อใจให้ลูกค้านึกถึงและมาอุดหนุนแบรนด์เสมอ
"เมื่อก่อนคุณผู้ชายจะทำแต่งานคนซื้อของเข้าบ้านคือคุณแม่ และคุณผู้หญิง เราจึงเน้นสินค้าและบริการที่จะทำให้คุณผู้หญิงถูกใจ อยู่ช็อปปิ้งได้นานๆ แม้เดี๋ยวนี้จะมีครอบครัวที่แฟร์ขึ้น ผู้หญิงผู้ชายช่วยกันทำงาน ช่วยกันเลี้ยงลูก ไปช็อปปิ้งด้วยกันในวันหยุดแต่หลายสินค้าผู้ชายก็ให้ผู้หญิงก็เป็นคนตัดสินใจซื้ออยู่ดี หลักๆ ที่เน้นคือเรื่องห้องน้ำ การเทรนด์แม่บ้านเป็นหน้าที่ของผมด้วยเหมือนกัน เพราะถ้าไม่สะอาด มีน้ำหยด มีรอยเปื้อนที่ฝาชักโครกแม้แต่นิดเดียวผู้หญิงไม่ทนเข้าหรอกครับ ถึงแม้จะได้ของถูกใจจากเรามากแค่ไหนแต่มาเจอห้องน้ำสกปรกเขาจะไม่ประทับใจเราทันที เราจึงใช้เวลาเทรนด์แม่บ้านนานเป็นพิเศษ พาเขาไปเอาท์ติ้งที่โรงแรม 5 ดาว แม่บ้านจะได้เห็นห้องน้ำที่สะอาดน่าใช้จริงๆ เป็นอย่างไร พอเขาเข้าใจก็เอามาปฏิบัติกับสโตร์เราได้ถูกต้องแบบที่เราไม่ต้องจี้มากเลย ทุกวันนี้ลูกค้าชมแม่บ้านเราเยอะมาก เขาก็จะรู้สึกภูมิใจในหน้าที่มีกำลังใจทำงานมากขึ้น พนักงานขายก็เหมือนกันบางคนไม่เคยซื้อของแพง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเสื้อต้องตัวห้าร้อยกว่าบาทเขาซื้อตลาดตัวละร้อยกว่าก็ใส่ได้ เราก็ต้องสอนตั้งแต่เรื่องด้ายมาจากไหนบ้าง สอนวิธีเทสต์ผ้าแล้วกลับไปจับเสื้อที่บ้านว่าทำจากอะไร ต่างกันยังไง เสื้อพนักงานผมจะให้ใส่ที่ทำจากคอตตอนร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกคน เพราะเขาจะได้รู้ว่าใส่ผ้าดีๆ แล้วรู้สึกยังไง เวลาที่เขาบอกลูกค้าจะได้บอกมาจากความรู้จริงๆ เมื่อลูกค้าเชื่อว่าเรารู้จริงเป็นที่ปรึกษาได้ก็จะกลับมาซื้ออีก ที่สำคัญเราเป็นห้างชานเมืองลูกค้าเลยชอบมาในชุดลำลองครับเสื้อยืด รองเท้าแตะ เพราะเพิ่งไปเที่ยวมาใช่ไหมครับ ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าใครฐานะยังไงผมจะบอกน้องๆ เสมอว่าเราไม่ควรดูถูกลูกค้าทุกคนที่เขามา ไม่ว่าใครก็มีความเจ็บช้ำน้ำใจนะถ้าเดินเข้าช็อปแล้วโดนมองแบบดูถูก มองหัวจรดเท้า ไม่ว่าคนรวยหรือจนเจอแบบนี้ก็เจ็บครับ การที่ลูกค้าเดินเข้ามาเขาอยากได้สินค้าอะไรสักอย่างแน่นอน ไม่งั้นเขาไม่เข้ามาหาเราหรอกต้องดูแลให้ดีอย่ามองข้าม และถึงไม่ได้ของกลับไปก็ต้องทำให้เขารู้ว่าข้างในเรามีอะไร ให้เขาได้ประทับใจการบริการของเราก็พอ พนักงานหลายคนมีลูกค้าประจำครับเพราะเขาแนะนำดีลูกค้าให้ความไว้ใจเขาอยากเปลี่ยนสิ่งของเครื่องใช้อะไรก็จะนึกถึงเราก่อน" คุณหนุ่ยเล่ายิ้มด้วยความภูมิใจ
พูดถึงตลาดในอนาคตผู้บริหารหนุ่มเล่าถึงมุมมองส่วนตัวว่ากำลังจับจ้องตลาดออนไลน์อยู่ แต่ไม่คิดออกตัวแรงทำสินค้าขายออนไลน์ทุกอย่างเหมือนสโตร์อื่น แม้การตลาดออนไลน์กำลังเป็นที่นิยมก็ตาม เวลานี้ขอคิดเยอะๆ และรอจังหวะเหมาะตามหลักบริหารค่อยเป็นค่อยไปตามเดิม
“ผมมองตลาดออนไลน์ไม่เหมือนคนอื่่น เพราะของเราเหมือนบริษัทที่ผลิตและขายเองโดยตรง ผมเคยคำนวณแล้วรู้ว่าเราทำเว็บออนไลน์ขายทุกๆ อย่างที่มี ปีหนึ่งต้องลงทุนประมาณ 20 ล้าน แล้วต้องขายของให้ได้เป็นหลักร้อยล้านคะครับถึงจะคุ้ม ซึ่งกลุ่มคนที่ซื้อของออนไลน์ตอนนี้จริงๆ คือเด็กมหาวิทยาลัย แต่ลูกค้าประจำของเอฟเอ็นจะมีอายุเริ่มต้นที่ 27 ปี เป็นวัยที่เริ่มเลือกซื้อของใช้คุณภาพ เน้นดีไซน์ มีฟังก์ชันดีๆ ซึ่งประมาณอีก 5 ปี กว่าเด็กเจนใหม่ที่ซื้อของออนไลน์จนเป็นกิจวัตรเหล่านี้ จะมาเป็นลูกค้าประจำของเรา ระหว่างรอผมอยากทำ อีมาร์เก็ตติ้งหรือการตลาดออนไลน์มากกว่าการขายของออนไลน์โดยตรง หมายถึงเราไม่จำเป็นต้องเอาของทั้งหมดมาโชว์ ผมแค่อยากชูโปรดักท์หนึ่งที่ผมชอบ มีความแปลกใหม่ เหมาะกับเทศกาล ตั้งราคาประหยัดแล้วให้ลิ้งค์ซื้อที่หน้าเว็บไซต์เลย พอมีคนซื้อก็จะรู้แล้วว่าเอฟเอ็นมีสินค้าประมาณนี้ และมีสินค้าอื่นๆ ให้มาเลือกซื้ออีกที่สโตร์ หรือทำเเคตตาล็อกย่อๆ ในโซเชียลมีเดียให้คนเห็นว่าเราก็มีนะ ทั้งหมดนี้เขามาเลือกซื้อได้ที่เอฟเอ็นนะคนก็จะมาซื้อกัน อาจมีกรณีพิเศษกับสินค้าที่มีความต้องการสูงมากจริงๆ พอลูกค้ารู้ว่าเรามีและมาถามหาผ่านเฟซบุ๊กมากๆ ผมก็จะเปิดรับออเดอร์เลย ให้อินบ็อกซ์ โอนเงิน แล้วเราก็ส่งของให้ตามปกติ ก็ขายกันง่ายๆ แบบนี้ก็มีครับ ไม่ต้องใช้เงินโปรโมทมากมาย ไม่ต้องคิดเยอะ คิดง่ายๆ แบบคนเงินน้อยโฟกัสในสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ ก็พอ” ผู้บริหารทิ้งท้ายด้วยแนวคิดเดินหน้าช้าๆ แต่ยั่งยืน