
ปากกัดตีนถีบ ชาวนาดิ้นสู้ภัยแล้งสุดฤทธิ์
29 ม.ค. 2559
เกาะติดวิกฤติแล้ง : ปากกัดตีนถีบ ชาวนาดิ้นสู้ภัยแล้งสุดฤทธิ์
ในสถานการณ์ภัยแล้ง ซึ่งเกือบจะเป็นอีกฤดูกาลหนึ่งประจำปีของประเทศไทยไปแล้ว “ชาวนา” มักเป็นคนกลุ่มแรกที่ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวมเสมอ ด้วยคำร้องขอไม่ให้ทำนาในเขตชลประทาน หรือหันมาปลูกพืชใช้น้ำน้อยอื่นๆ แทน
กระนั้นก็ตาม พวกเขาให้ความร่วมมือกับคำร้องขอแกมบังคับนั้นบ้างตามความเป็นจริง แต่อีกไม่น้อยก็ต้องปรับเปลี่ยนวิถีแห่งเกษตรกรรมเพื่อความอยู่รอด อย่างเช่น กลุ่มเกษตรกรและชาวนาที่จะพูดถึงต่อไปนี้
กัดฟันทำนา-ปลูกแตงโมใช้น้ำน้อย
สถานการณ์ภัยแล้งในจังหวัดพิจิตร ยังคงทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแม่น้ำยมที่ไหลผ่าน 4 อำเภอของ จ.พิจิตร คือ สามง่าม โพธิ์ประทับช้าง บึงนาราง และโพทะเล โดยแม่น้ำยมแห้งขอดจนเห็นท้องแม่น้ำเป็นผืนทรายตลอดทั้งลำน้ำ สภาพไม่ต่างกับทะเลทราย จนทำให้เกิดผลกระทบต่อดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ โดยเฉพาะการทำนา
คำรณ เสือไว ชาวนา หมู่ 1 บ้านกำแพงดิน ต.กำแพงดิน อ.สามง่าม กล่าวว่า หลังจากที่น้ำแม่น้ำยมแห้งก็จำเป็นต้องใช้น้ำใต้ดินจากบ่อบาดาล นำน้ำขึ้นมาเลี้ยงต้นข้าวกว่า 10 ไร่ ถึงแม้จะมีรายจ่ายจากค่าน้ำมันถึง 1,000 ลิตรก็ตาม แต่ชาวนาจำเป็นต้องทำนา เนื่องจากไม่รู้ว่าจะทำอะไร และต้องหารายได้ใช้หนี้ธนาคารที่กู้มา
“เงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน 150,000 บาท จะครบกำหนดชำระหนี้ในเดือนมีนาคม 2559 จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องลงมือทำการเกษตรโดยเฉพาะนาข้าวที่ผมมีความถนัด เพื่อหาเงินมาใช้หนี้ หรือชำระเฉพาะดอกเบี้ยกับทางธนาคารไปก่อน” คำรณ กล่าว
ขณะที่เกษตรกรในพื้นที่บ้านหนองปลาไหล ต.หนองปลาไหล อ.วังทรายพูน เร่งเก็บผลแตงโมในพื้นที่กว่า 10 ไร่ ที่กำลังออกผลผลิต ส่งขายให้แก่ลูกค้ารายย่อยและพ่อค้าคนกลาง ที่นำรถออกมารับซื้อถึงบริเวณหน้าสวน ซึ่งราคาที่พ่อค้ารับซื้อแตงโมลูกใหญ่จะอยู่ที่ราคากิโลกรัมละ 10 บาท ลูกเล็กกิโลกรัมละ 5 บาท ซึ่งถือเป็นรายได้ที่สูงกับเงินลงทุนที่ต่ำ ระยะเวลาสั้น กับสภาวะอากาศที่แล้ง จนไม่สามารถทำนาข้าวได้ ในช่วงนี้เกษตรกรส่วนใหญ่จึงหันมาทำแตงโม ถึงแม้ราคาจะต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ก็ยังสร้างรายได้ดีในช่วงภัยแล้ง
บุญช่วย ภู่เรือง กล่าวว่า การปลูกแตงโมทั้งหมด เป็นการลงทุนใช้ต้นทุนน้อย ระยะเวลาสั้น และใช้น้ำน้อยกว่านาข้าว โดยแตงโมจะให้ผลผลิตรายได้ประมาณไร่ละ 5,000-7,000 บาท ซึ่งช่วงนี้ ถึงแม้ ราคาแตงโมจะลดลงเหลือกิโลกรัมละ 5-6 บาท เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา ที่มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 7-8 บาท แต่ยังมีรายได้ดีกว่าการทำนา ในช่วงนี้ โดยการปลูกแตงโมของเกษตรกร นับว่าสร้างรายได้งามเนื่องจากใช้เวลาเพียง 2 เดือนก็สามารถเก็บผลผลิตขายได้ โดยรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ไร่ละ 7,000-10,000 บาท ซึ่งเป็นที่นิยมปลูกกันมากในพื้นที่ที่น้ำไม่เพียงพอกับการทำนาและสามารถสร้างรายได้ดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการทำนาในช่วงนี้
ด้าน ฉัตรพร ราษฎรดุษดี ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร พร้อมเจ้าหน้าที่กระทรวงการเกษตรฯ และเจ้าหน้าที่ชลประทานพิจิตร ลงพื้นที่เร่งทำความเข้าใจ พร้อมชี้แจงให้ประชาชนและเกษตรกรได้รับทราบถึงปัญหาภัยแล้ง และปริมาณน้ำในเขื่อนหลักที่มีปริมาณน้อยจนไม่สามารถทำนาได้ พร้อมส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ ต.ดงกลาง ได้หารายได้จากการปลูกพืชใช้น้ำน้อย แทนการทำนา
ฉัตรพร กล่าวว่า ในช่วงภัยแล้งที่เกิดขึ้น ทางจังหวัดพิจิตร ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 12 อำเภอ ยังไม่ประกาศพื้นที่พิบัติภัยแล้ง อย่างไรก็ตาม ได้รณรงค์ขอความร่วมมือจากประชาชนและเกษตรกรในการใช้น้ำอย่างประหยัด เพื่อให้ประชาชนและเกษตรกรผ่านวิกฤติภัยแล้งให้ได้ในปีนี้
สำหรับ จ.พิจิตร มีพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2557/58 จำนวน 571,876 ไร่ ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกข้าวเพียง 166,686 ไร่ ซึ่งถือว่า เป็นการปลูกข้าวลดลงเกือบ 3 เท่าของปีที่ผ่านมา เนื่องจากปัญหาภัยแล้งและการขาดน้ำ เกษตรกรส่วนใหญ่ได้ปรับเปลี่ยนมาปลูกพืชใช้น้ำน้อยมากขึ้นและปล่อยพื้นที่นาว่างเปล่า
สิงห์บุรีปลูกพืชสวนระยะสั้นทดแทน
ทวี อนุสนธิ อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33/3 ต.โพชนไก่ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี กล่าวว่า เมื่อต้นปี 2555/2556 ปลูกข้าว 11 ไร่ ได้ราคาข้าวดี ผลผลิตดี ได้ไร่ละ 1 เกวียน สามารถนำเงินไปใช้หนี้สินได้หมด ยังเหลือเงินไว้ทำทุนและเลี้ยงดูครอบครัวได้ มาเมื่อปลายปี 2557/2558 ต้องเลิกทำนาข้าวด้วยประสบปัญหาน้ำน้อย ข้าวที่เพาะปลูกถูกหนูนากัดกินเสียหาย เพลี้ยกระโดด ราคาข้าวตกต่ำไม่คุ้มทุน จึงเลิกการเช่านาปลูกข้าว หันมาทำพืชสวนผสมในเนื้อที่ 1 ไร่ โดยไปกู้เงินที่ธนาคารออมสินเพื่อลงทุน จำนวน 120,000 บาท นำเงินมาใช้จ่ายเกี่ยวกับการทำสวนผสม เช่น ปรับหน้าดิน ซื้อพันธุ์พืช อุปกรณ์การใช้ในการเกษตรผสม ท่อน้ำ ปั๊มน้ำ เป็นต้น และต้องส่งเงินต้น พร้อมดอกเบี้ยให้แก่ธนาคาร เดือนละ 3,000 บาททุกเดือน ส่วนผลผลิตที่เพาะปลูก เช่น มะนาว มะเขือ ชะอม มะละกอ ฟักแฟง
สำหรับการขายนั้น จะนำไปขายที่ตลาดนัด ช่วงบ่าย–เย็น ได้เงินวันละ 400–500 บาท พอเลี้ยงตัวเองและครอบครัวอยู่รอด ปัญหาคือ แหล่งน้ำที่ใช้ต้องวางท่อน้ำ ระยะทางเกือบ 500 เมตร ไปที่ลำแม่น้ำน้อย และติดตั้งปั๊มน้ำดึงน้ำไปใช้รดพืชผักสวนครัว วันละ 3 ชั่วโมง และขณะนี้น้ำในลำแม่น้ำน้อยลดแห้งไปทุกวัน ในอนาคตต้องขุดเจาะบ่อบาดาลเพื่อนำน้ำไปใช้ นั่นก็หมายความว่าต้องลงทุนเพิ่มอีก ถ้าเป็นไปได้อยากให้หน่วยงานราชการภาครัฐมาขุดลอกบ่อหลาเก็บน้ำที่หลังบ้าน มีความยาวประมาณ 500 เมตร เป็น บ่อหลา เก่าใช้เก็บน้ำใน ต.โพชนไก่ ขณะนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าและวัชพืชต่างๆ ขวางทางน้ำอยู่

ทวีบอกว่า อยากให้ชาวนาที่ อ.บางระจัน และใกล้เคียงปีนี้ ให้หยุดการเพาะปลูกข้าวไว้ก่อน เพราะน้ำน้อยจะมีผลกระทบตามมาหลายอย่าง ให้สับเปลี่ยนมาปลูกพืชสวนครัวระยะสั้นใช้น้ำน้อย ทดแทนการปลูกนาข้าว จะสามารถดูแลเลี้ยงครอบครัวได้และเอาตัวรอดในภัยแล้งนี้
กาหลง เปี่ยมชม บอกว่า เมื่อปี 2556 ปลูกข้าว 5 ไร่ เป็นนาให้เช่า ไร่ละ 1,200 บาท ได้ผลผลิตราคาดี ข้าวดี กำไรดี มาหลังๆ ได้ข้าวไม่ค่อยดี ตั้งแต่ ปี2557 ถึงปัจจุบันเลิกทำนาเช่าแล้ว เพราะน้ำไม่มี หนูกัดกินข้าว ต้นทุนสูง ไม่คุ้มทุน เพราะเป็นนาให้เช่า โดยบังเอิญได้พบผู้แนะนำให้ปลูกดอกดาวเรืองแค่ 30 วันก็ติดปุ่มติดดอก พอได้ 45 วัน ก็ตัดดอก ได้ผลผลิตไว จึงทดลองปลูกนาเช่า 2 ไร่ใช้เงินทุนไป 3 หมื่นบาท โดยมีเถ้าแก่นำต้นกล้ามาขายให้ในราคาต้นละ 2 บาท และรับซื้อดอกดาวเรืองในราคา ร้อยละ 60 บาท (ดอกใหญ่ กลาง เล็ก) ราคาต่างกันไป พร้อมดูแลทุก 7 วัน ส่วนแหล่งน้ำได้มาจากบ่อเก็บน้ำ คลองทิ้งน้ำ ต้องสูบน้ำระยะทางเกือบครึ่งกิโลเมตรเพื่อมาหล่อเลี้ยงต้นดาวเรือง
กาหลง ในวัย 50 ปี กล่าวว่า การปลูกสวนดาวเรืองในครั้งนี้ ไปกู้เงินมาจำนวน 4 หมื่นบาท เสียดอกเบี้ยร้อยละ 10 เพื่อนำมาซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เช่น ท่อพีวีซี หัวก๊อกน้ำ สายยาง ปรับพื้นดิน และทำสายน้ำหยดให้ต้นดาวเรือง พอต้นดาวเรืองแข็งแรงก็สูบน้ำราดได้เลย
ยอมกู้เงินขุดบาดาลทำนาปรัง
มาลัย คำวิชิต อายุ 46 ปี ทำนาอยู่ ต.มะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ทำนาปรังในนาเช่า จำนวน 30 ไร่ ตอนนี้ปลูกข้าวอายุได้ 20 วันแล้ว และลงทุนขุดบ่อบาดาลบ่อละ 7 หมื่นบาทเพื่อนำน้ำมาทำนาปรังในฤดูกาลนี้
เธอเล่าว่า ขุดบ่อที่นา และขุดตาน้ำไปหาน้ำอีก 4 วา หรือ 8 เมตร โดยจ้างรถแม็คโครมาขุดแล้ววางปั๊มน้ำไว้ด้านล่างของบ่อและวางรองขนาด 1 เมตร ลงไปจนถึงขอบบ่อด้านบน โดยต้องจ้างทุกอย่างเพราะว่ามันแล้งมากเลยต้องช่วยเหลือตัวเองไปแบบนี้ การทำนาครั้งนี้จะไปรอดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เพราะว่ามันแล้งมาก แถบนี้ลงทุนขุดกันไม่กี่บ่อเพราะต้องลงทุนไปกู้เงินเขามาทำเอง โดยทำนา 30 ไร่ ต้องขุดบ่อบาดาลถึง 2 บ่อถึงจะมีน้ำใช้พอ ส่วนการปลูกพืชทดแทนเช่นถั่วหากใช้น้ำรดเกิดมีน้ำขังถั่วก็จะเหลืองตาย สรุปคือก็ต้องปลูกข้าวอย่างเดียว
ส่วน สีฟ้า จีนไผ่ หนุ่มใหญ่วัย 48 ปี ทำนาในละแวกเดียวกันบอกว่า ทำนาปรังคราวนี้ 25 ไร่ ลงทุนเจาะบ่อบาดาลโดยใช้ระบบไฟฟ้าสูบน้ำเพื่อนำน้ำมาทำนาปรังคราวนี้จ้างเจาะบ่อบาดาลขนาดท่อ 6 นิ้ว แล้วซื้อซับเมอร์ส(ปั๊มบาดาล) ขนาด 2 นิ้ว ราคา 2 หมื่นกว่าบาท มาลงที่บ่อที่ขุดไว้ เพื่อสูบน้ำที่ได้ออกจากท่อ ขนาด 2 นิ้ว ซื้อเสาไฟฟ้าต้นละ 2,000 กว่าบาท เดินสายไฟอีก 1,500 บาท ค่าจ้างช่างอีกประมาณ 5,000 บาท ค่าหม้อไฟฟ้าอีก 2,000 กว่าบาท โดยกู้เงินมาจาก ธ.ก.ส. ตอนนี้เบ็ดเสร็จบ่อนี้อยู่ที่ 4 หมื่นกว่าบาทเพื่อสู้กับภัยแล้งครั้งนี้
ขณะที่ วันเพ็ญ ช้างหัวหน้า มีนา 20 ไร่ ขุดบ่อบาดาลเพื่อสูบน้ำมาทำนาปรังจากที่ใช้น้ำจากชลประทานทำนาโดยลงทุนเจาะบ่อ 23,000 บาท ค่าขุดตาม 6,400 บาท ค่าวง 5,400 บาท ค่าจ้างทั่วไป 5,000 บาท ซื้อของอีก รวมแล้วประมาณ 40,000 กว่าบาท โดยลงทุนไปแล้วในการทำนาปรังครั้งนี้ 1 แสนกว่าแล้ว ค่าปุ๋ยค่ายา ค่าเมล็ดพันธุ์โดยกู้มาจากสหกรณ์และ ธ.ก.ส. โดยกู้เงินจาก ธ.ก.ส.เพื่อมาเจาะบ่อน้ำบาดาล ถ้าไม่เจาะบ่อก็ไม่มีน้ำทำนาปรัง ของสหกรณ์เป็นปุ๋ยยาและกู้จากชาวบ้านก็มาซื้อข้าวปลูก เก็บเกี่ยวข้าวคราวนี้แล้วคาดว่าน่าจะได้สัก 15 เกวียน พอเหลือใช้หนี้และจะปลูกพืชทดแทนเป็นถั่วเขียวเพราะใช้น้ำน้อยเพื่อบำรุงดินต่อไป
ไพฑูรย์ รื่นสุข เกษตรจังหวัดชัยนาท กล่าวว่า สำนักงานเกษตรจังหวัดชัยนาท แนะนำให้เกษตรกรปลูกพืชใช้น้ำน้อย เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลิสง พืชผัก มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการกว่า 12,315 ราย โดยมีการปลูกข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ จำนวน 224 ราย พืชตระกูลถั่ว 4,576 ราย การเพาะเห็ด 5,042 ราย พืชสมุนไพร 4 ราย ไม้ดอกไม้ประดับ 6 ราย อื่นๆ 109 ราย มีเกษตรกรบางรายไม่เข้าร่วมโครงการเนื่องจากบางพื้นที่เป็นพืชไม่เหมาะสมและติดในเรื่องของแรงงาน เช่น การเก็บเกี่ยวต้องใช้แรงงานจำนวนมาก
สำหรับข้อมูลจากการพยากรณ์อากาศ โอกาสเกิดสถานการณ์ภัยแล้งรุนแรงสูง แม้หากมีฝนตกมาในช่วงนี้ปริมาณน้ำก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากการปลูกถั่วเขียวจะปลูกในช่วงเดือนมีนาคม หรือต้นเดือนเมษายน แต่หากปลูกข้าวจะประสบปัญหาเหมือนปีที่แล้ว เมื่อปลูกช่วงนี้จะขาดน้ำและได้รับความเสียหายทันทีเพราะเดือนพฤษภาคมไม่มีน้ำมา
อ่างทองหันปลูกพืชทดแทน
โสภณ กรวยทอง อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 48 หมู่ 1 ต.สายทอง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง พาผู้สื่อข่าวดูพื้นที่นาจำนวน 7 ไร่ ที่ทำการไถไว้เพื่อเตรียมปลูกข้าวโพดเพื่อหาเงินมาใช้หนี้และเลี้ยงครอบครัวหลังจากไม่สามารถทำนาได้ ตอนนี้ต้องเอาตัวรอดให้ได้ ภัยแล้งปีนี้ไม่สามารถจะปลูกข้าวได้อีกเนื่องจากไม่มีน้ำ ข้าวที่ทำได้ก็พอเอาไว้กินเท่านั้น ตอนนี้ครอบครัวเดือดร้อนมากเป็นหนี้เยอะ ทำนาก็ไม่พอใช้หนี้ ต้องหันมาปลูกข้าวโพดเพื่อจะเอาผลผลิตไปใช้หนี้ ถามว่าทำข้าวโพดจะเอาน้ำที่ไหน ก็ใช้น้ำจากน้ำบาดาลเพราะแหล่งน้ำไม่มี ก็ต้องสู้กันไปถ้าไม่ทำพื้นที่ใช้น้ำน้อยแล้วจะทำอะไรกิน นาตอนนี้ก็ทำได้ปีละ 1 ครั้ง แต่ปีนี้อาจจะไม่สามารถทำได้เลย ปกติตอนนี้เริ่มทำนาแล้วแต่ก็ไม่มีน้ำ บางครั้งก็ท้อต่อชีวิตไม่เคยเจอปัญหาประเทศไทยขาดน้ำทำเกษตรไม่ได้ แต่มาเจอแบบนี้ ก็จนลงไปอีก ข้าวโพดที่จะปลูกจะได้ผลผลิตเท่าไหร่ก็ไม่รู้
ศรีไพร ภูเรืองเผ่า อายุ 52 ปี ชาว ต.ไผ่จำศีล อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง กล่าวว่า ทำนาอยู่ 20 ไร่ มาเจอปัญหาน้ำไม่มี และได้ดูทีวีเห็นเขาให้ปลูกพื้นที่ใช้น้ำน้อย จึงหันมาปลูกฟักยาวดู สำหรับน้ำที่นำมาใช้ในการเพาะปลูกก็สูบมาจากคลองมาเก็บไว้และต่อน้ำบาดาลสูบเสริมโชคดีที่ผืนนาอยู่ติดกับบ้านการดูแลสะดวกไม่ต้องกลัวขโมยมาลัก ถามว่าลำบากไหมตอบว่าลำบากมาก จะทำอะไรก็ลำบากไปหมด น้ำเป็นสิ่งจำเป็นมากไม่มีน้ำก็ไม่รู้จะทำอย่างไร น้ำบาดาลก็ไม่ค่อยดี ตอนนี้หนี้สินก็มาก เดือดร้อนมาก แต่ก็ต้องสู้ ไม่สู้จะทำอย่างไร
สมพิศ พูลสวัสดิ์ เกษตรจังหวัดอ่างทอง กล่าวว่า มาตรการของรัฐบาลที่ออกมาช่วยเหลือเกษตรกรที่ไม่สามารถทำนาได้ มาตรการแรกคือสนับสนุนให้ปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย มาตรการที่ 2 คือการรวมกลุ่มกันทำงานโดยรัฐบาลมีเงินให้วันละ 300 บาท ซึ่งตอนนี้เกษตรกรที่ทำนามีจำนวน 14,742 ราย เข้าร่วมในโครงการของรัฐบาลจำนวน 13,000 ราย คิดเป็น 89 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเกษตรกรที่ไม่เข้าร่วมโครงการก็เนื่องจากเกษตรกรเหล่านั้นมีอาชีพเสริมอยู่แล้ว อีกส่วนหนึ่งไม่มีแหล่งน้ำที่จะการเกษตร ซึ่งก็เป็นห่วงมากเพราะการหาแหล่งน้ำเป็นเรื่องสำคัญ การเจาะบ่อบาดาลบางบ่อน้ำก็ใช้ไม่ได้