ข่าว

ยึดกติกาขี่ม้า...พัฒนาอสังหาฯพันล้าน!

ยึดกติกาขี่ม้า...พัฒนาอสังหาฯพันล้าน!

21 ม.ค. 2559

ยึดกติกาขี่ม้า...พัฒนาอสังหาฯพันล้าน! : คมคิดธุรกิจนิวเจนโดย-ธานี กุลแพทย์

          สนนราคาที่ดินซอยหลังสวน ถนนสั้นๆ ยาวเพียงไม่กี่กิโลเมตร จุดเชื่อมความเจริญสูงสุดของ กทม.เมืองหลวง ราคาประเมินจากกรมที่ดินล่าสุดปี 2559 ตารางวาละ 9.5 แสนบาท แต่เป็นที่รู้กันว่าราคาซื้อขายที่ดินเปล่าจริงๆ ย่านนี้พุ่งสูงเฉียดล้านห้าแสนบาท จึงไม่ใช่ง่ายที่ใครคิดจะลงทุน ทว่า นักธุรกิจหนุ่มอย่าง “แวร์” อภิภู พรหมโยธี ทายาทตระกูล “พรหมโยธี” อดีตนักกีฬาขี่ม้าทีมชาติไทย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด กำลังทำในเรื่องที่ไม่ง่ายนั้น

          โดยที่ อภิภู บอกว่า ความที่เขาเป็นเด็กหลังสวน ใช้ชีวิตและเห็นความเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ผู้คนในเมืองใหญ่มาตลอด มองทิศทางการเติบโตของเมืองอย่างเข้าใจสไตล์คนรุ่นใหม่ เขายอมรับว่าแผนงานการพัฒนาที่ดินในครั้งนี้มีความหนักใจอยู่บ้าง เพราะแม้จะเป็นที่พักอาศัยในทำเลที่ถือเป็นไข่แดงแห่งมหานคร แต่ไม่ง่ายนักที่จะสร้างความลงตัวให้ปรากฏโฉมอย่างโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ทั้งการผสานแนวคิด การออกแบบภูมิสถาปัตย์ สภาพแวดล้อม การออกแบบตัวอาคาร จำนวนยูนิตพักอาศัย การจัดพื้นที่ใช้สอยที่จะมอบความคุ้มค่าสำหรับผู้อยู่อาศัย

          อภิภู ในวัย 31 ปีวันนี้ เขาอาจดูเป็นนักธุรกิจหนุ่มอายุน้อยก็จริง แต่ใช่ว่าไม่เคยจับงานโครงการขนาดใหญ่มาก่อน เขาและพี่ชาย (ลูกอา) ร่วมกันก่อตั้งบริษัทและพัฒนาที่ดินโครงการแรกในซอยหลังสวน โด่งดังและทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทย เดอะ ปอร์ติโก้ ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในย่านราชประสงค์-ชิดลม-หลังสวน-ราชดำริ ที่ซึ่งมีห้างสรรพสินค้าชั้นนำเกรดเอรายล้อม และ เดอะ ปอร์ติโก้ ได้พิสูจน์ตัวเองมาตั้งแต่เริ่มเปิดตัวโครงการปี 2556 ว่าเป็นจุดนัดพบใหม่คนเมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา สนุกสนาน ทำให้ซอยหลังสวนไม่เงียบเหงา

          ด้วยถือคติการทำงานว่า ความสำเร็จเกิดจากฝึกฝน - Practice makes Perfect - ทุกอย่างต้องผ่านการคิดซ้ำและทำซ้ำ เอ็มดีหนุ่มคนนี้จึงเดินหน้าโปรเจกท์พัฒนาที่ดินส่วนต่อเนื่องจาก เดอะ ปอร์ติโก้ หลังทิ้งช่วงไปนาน 3 ปี เพื่อเตรียมพร้อมโปรเจกท์นี้ ต่อเมื่อทุกอย่างลงตัวจึงพร้อมเผยโฉมอาคารชุดสุดหรูโลว์ไรส์ 8 ชั้น บนพื้นที่ 1 ไร่ 7 ตารางวา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง

          “ผมว่ามันเป็นความคิดของคนที่ถูกฝึกมาอย่างนักกีฬา ผมเชื่อว่านักกีฬาทุกคนจะมีลูกฮึดให้ใจสู้ มักมีแผนก๊อกหนึ่ง ก๊อกสอง ไว้แก้ปัญหา มีกำลังใจที่จะต่อสู้อุปสรรคปัญหาตราบเท่าที่ยังไม่ถึงเส้นชัย โอกาสชนะยังมีอยู่เสมอ จริงๆ ผมคิดจะลงมือพัฒนาที่ดินแปลงนี้เมื่อ 2-3 ปีก่อน แต่เกิดปัญหาวุ่นวายทางการเมือง จึงชะลอแผนงานออกไป ตอนนี้มั่นใจแล้วว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ธุรกิจไม่ต่างจากการแข่งขันกีฬา การฝึกซ้อมทักษะที่ต่อเนื่องด้วยความมุ่งมั่น คือทางสู่ความสำเร็จ ตอนเล่นกีฬา ผมถือคติต้องฝึกซ้อมเท่านั้นจึงจะสำเร็จ ตอนนี้มาทำธุรกิจ ผมยังถือคติเดียวกันเพราะความสำเร็จเกิดจากฝึกฝน ถือเป็นการฝึกซ้อมทักษะให้ตัวเองครับ” อภิภู กล่าว

          พร้อมกันนี้ อภิภู ย้อนให้ฟังเมื่อครั้งเขาเริ่มกีฬาขี่ม้าครั้งแรกเมื่ออายุ 9 ขวบ จากที่พ่อแม่ชอบกิจกรรมนี้ ทำให้เขาชอบไปด้วย ต่อเมื่อเริ่มมีกลุ่มก๊วนเรียนขี่ม้าด้วยกัน จากที่เป็นกิจกรรมวันหยุดก็พัฒนาเป็นกีฬาอย่างจริงจังในเวลาต่อมา

          “ตอนนั้นเอาจริงเอาจังมาก รู้สึกว่าเป็นเรื่องท้าทายตัวเอง พอรู้ตัวว่าชอบทางนี้ ก็อยากไปให้สุดทาง มีพรสวรรค์ก็ต้องสร้างพรแสวงด้วย ต้องไปให้ถึงที่สุด” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น

          อภิภู เล่าว่า ความจริงจังขณะนั้นนำมาซึ่งการฝึกซ้อมอย่างหนักและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเรียนศิลปะการบังคับม้า “ตอนนั้นบอกเลยว่าฟอร์มสุดยอดมาก ผมไปเรียนและฝึกซ้อมที่ต่างประเทศ ฝึก ฝึก ฝึก เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก”

          ผลคือ ตัวเขาและเพื่อนในก๊วนเดียวกัน สามารถคัดตัวผ่านเข้าร่วมเป็นนักกีฬาขี่ม้าทีมชาติไทย ประเภทศิลปะการบังคับม้า เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ในปี 2544 ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งขณะนั้นเขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 5 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน และสามารถคว้าเหรียญเงินในประเภททีมให้ทีมชาติไทย

          อภิภู ยังกล่าวถึงการแข่งขันขี่ม้าอีกหลายรายการที่ตนเองมีโอกาสได้เข้าร่วมการแข่งขันพร้อมกับนักกีฬาทีมชาติไทยคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเอเชี่ยนเกมส์ 2002 ที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้, รายการ FEI World Dressage Challenge 2003 (Final) ประเทศเยอรมนี, กีฬามหาวิทยาลัยโลกรายการ World University Equestrian 2004 กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และกีฬาซีเกมส์ 2007 ที่ประเทศไทย โดยแข่งขันกันที่ จ.นครราชสีมา ซึ่งเขาและทีมก็สามารถคว้าเหรียญทองแดง ประเภททีมมาครอง นับเป็นรางวัลครั้งสุดท้ายและปิดฉากชีวิตนักกีฬาทีมชาติ

          “เราเป็นนักกีฬาขี่ม้าของเอเชีย พอเติบโตในเส้นทางนี้ไปถึงจุดจุดหนึ่ง การสนับสนุนจากครอบครัวฝ่ายเดียวมันไม่พอ เพราะหากไปต่อก็ไม่ถึงเป้าหมายแน่ ผมจึงต้องหยุด แล้วตัดสินใจเลือกทางชีวิตใหม่ในเส้นทางการเรียนรู้เพื่อสานต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัว...เสียดายมากที่โอกาสทางกีฬาเราไปได้แค่นั้น แต่ผมก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีในชีวิตที่ได้ใช้ความเป็นนักกีฬาที่เรามีอยู่เต็มหัวใจมาทำธุรกิจ”

          การเล่นกีฬาไม่เคยให้โทษแก่ใคร แม้จำต้องล้มเลิกเป้าหมายในการกีฬา แต่ความคิดและจิตใจอย่างนักกีฬาได้หล่อหลอมให้อภิภูเป็นคนรู้จักใช้พลังของตัวเอง ซึ่งแนวคิดนี้เขานำมาใช้ในการบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มูลค่านับพันล้านบาท

          จากบุคลิกหนุ่มนักกีฬาที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มีสไตล์ชัดเจนของนักธุรกิจรุ่นใหม่ จึงอาจทำให้ถูกมองเป็นคนที่มุทะลุ มุ่งมั่นในทางที่ตนเองเลือกเดิน และกล้าตัดสินใจ ทว่า สิ่งที่ต่างออกไประหว่างความเป็นนักกีฬาและนักธุรกิจ ชายหนุ่มบอกว่า

          “กีฬา คุณอยู่กับม้า บริหารและควบคุมม้าให้เป็นไปอย่างใจคุณได้ แต่ธุรกิจคุณอยู่กับคน คุณควบคุมคนทุกคนให้ได้อย่างใจคุณไม่ได้หรอก” จึงเป็นที่มาของหลักคิดในการทำงานที่อภิภูนำมาใช้ในปัจจุบันหลังจากผ่านการฝึกฝนการทำความเข้าใจจิตใจของมนุษย์ ทำให้เขาเชื่อว่าการบริหารคนคือการบริหารจิตใจของตนเองและมองผู้อื่นอย่างเข้าใจ

          อภิภู เชื่อว่าการบริหารคนเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เดินไปข้างหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ และด้วยความคิดแบบนักกีฬา จึงเชื่อมั่นว่าตนเองมีแรงผลักดันในการต่อสู้อยู่เสมอ ท้อได้แต่ไม่เคยถอย ทุกปัญหาต้องมีทางแก้ไข

          จากนี้ไป “แวร์” อภิภู พรหมโยธี กำลังสร้างบทพิสูจน์ตัวเองด้วยความมุ่งมั่นครั้งสำคัญ จากนักกีฬาขี่ม้าทีมชาติไทยสู่นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์พันล้าน บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด พร้อมเปิดให้จองโครงการที่พักอาศัยสุดหรูใจกลางกรุงเทพฯ ซอยหลังสวน กุมภาพันธ์นี้

          “แวร์” อภิภู พรหมโยธี อายุ 31 ปี บุตรชาย นายกำจรเดช พรหมโยธี และนางอัมพิกา เตียบัวแก้ว นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การศึกษาโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ปริญญาตรี บริหารธรุกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (บางเขน)

          แวร์ เกิดและเติบโตย่านหลังสวน สาแหรกวงศ์ตระกูลมีที่ดินย่านนี้จำนวนหนึ่ง เป็นกรรมสิทธิ์ของคุณย่า หม่อมเจ้าหญิงบรรเจิดวรรณวรางค์ วรวรรณ (ท่านหญิงแต๋ว) และคุณปุู่ พล.อ.มังกร พรหมโยธี นายทหารผู้มีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปประเทศ สมัยนายกรัฐมนตรี จอมพล ป.พิบูสงคราม และถูกส่งต่อเป็นมรดกรุ่นสู่รุ่น

          หนึ่งในโลเกชั่นสุดฮอตของกรุงเทพฯ คือ ที่ดิน 3 แปลงในซอยหลังสวน นั่นทำให้ธุรกิจหลักของครอบครัว “พรหมโยธี” มีชื่ออยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์มาตั้งแต่รุ่นพ่อ โดยพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมหรูในชื่อ บ้าน ณ วรางค์ โปรเจกท์ที่พักอาศัย มีอายุยาวนานโครงการหนึ่ง

          มาถึงรุ่นลูก อภิภู ก่อตั้ง บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด โดยทำร่วมกับพี่ชาย เริ่มงานอสังหาริมทรัพย์โปรเจกท์แรก โดยพัฒนาที่ดินแปลงสวยต้นซอยหลังสวน ให้เป็นไลฟ์สไตล์มอลล์รูปแบบใหม่ในาม เดอะ ปอร์ติโก้ ซึ่งเปิดตัวไปอย่างคึกคัก เมื่อปี 2556 ดังกล่าว