ข่าว

เมื่อฮุน เซนใช้สื่อออนไลน์ปูฐานอำนาจการเมือง

เมื่อฮุน เซนใช้สื่อออนไลน์ปูฐานอำนาจการเมือง

19 ม.ค. 2559

เมื่อฮุน เซนใช้สื่อออนไลน์ปูฐานอำนาจการเมือง

           นายกรัฐมนตรีฮุน เซนปัจจุบันอายุ 63 ปี มีแผนการครองอำนาจการปกครองกัมพูชาจนถึงอายุ 74 ปี หรืออีก 11 ปีข้างหน้า จึงต้องหาทางสร้างฐานอำนาจทางการเมือง ระดมเสียงสนับสนุนจากประชาชนให้มีความเชื่อมั่นในตนเองมากที่สุด เพื่อเป็นสะพานคอนกรีตที่แข็งแกร่งปูทางข้ามผ่านการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไปที่จะเกิดขึ้นเพื่อให้อดีตผู้แปรพักตร์จากเขมรแดงผู้นี้ที่ปกครองกัมพูชามาแล้ว 30 ปี คงอยู่ในอำนาจต่อไปได้ตามแผนที่วางไว้

           กลุ่มเป้าหมายที่สำคัญในการเป็นเสียงสนับสนุนการสืบต่ออำนาจของนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน คือคนรุ่นใหม่อายุต่ำกว่า 30 ปี ในกัมพูชาที่เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ มากถึง 2 ใน 3 ของประชากร 15 ล้านคนของประเทศ ที่มีพฤติกรรมเหมือนกับคนรุ่นใหม่ทั่วไปในโลก นั่นคือ เป็นกลุ่มที่รับเทคโนโลยีได้รวดเร็ว และนิยมการใช้งานสื่อโซเชียลมีเดียอย่างมาก

           แม้นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ที่ยอมรับว่าเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปีในเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ และเคยมองว่าสื่อโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือของฝ่ายต่อต้านตนเองใช้แลกเปลี่ยนข้อมูล ใส่ร้ายป้ายสี และปลุกระดมมวลชนขึ้นมาต่อต้านตนเอง แต่ในเวลานี้ นายกรัฐมนตรีฮุน เซน กลับพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ด้วยการนำตนเองเข้าไปอยู่ในสื่อโซเชียลมีเดียเพื่อการเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ในประเทศ

           ผู้นำกัมพูชาที่ครองอำนาจมาตั้งแต่ปี 2528 เพิ่งเปิดตัวแอพพลิเคชั่น “สมเด็จฮุนเซน” เมื่อต้นเดือนมกราคม 2559 นี้เอง โดยเปิดให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ทั้งในระบบแอนดรอยด์ และไอโอเอส ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นดังกล่าวเข้าไปใช้งาน ในแอพพลิเคชั่นนี้จะมีข้อมูลเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีฮุน เซน เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของกัมพูชา ทั้งยังเปิดช่องทางการสื่อสารจากประชาชนไปยังผู้นำประเทศได้โดยตรง

           นอกจากนั้น ยังเชื่อมโยงเข้าสู่บัญชีเฟซบุ๊กของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน เพื่อติดตามการทำงานของผู้นำประเทศที่มีการเผยแพร่ออกมาในแต่ละวัน ขณะเดียวกันในหน้าเฟซบุ๊กของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนกันยายน 2558 ก็เป็นที่นิยมในกลุ่มประชาชนและผู้ใช้เฟซบุ๊กทั่วไป ที่เข้าไปกด “ไลค์” มากกว่า 1.9 ล้านไลค์แล้ว

           พร้อมกันนั้น นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ก็เปลี่ยนภาพของตนเองจากผู้เฒ่าที่ตามเทคโนโลยีไม่ทัน กลายเป็นผู้ที่นิยมการใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร โดยกล่าวว่า “ไม่ว่าเทคโนโลยีจะไปในทิศทางใด เราก็ต้องไปให้ทัน” ทั้งยังเปิดเผยผ่านหน้าเฟซบุ๊กเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ตนเองพกพาสมาร์ทโฟนมากถึง 5 เครื่องไปด้วยตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ขาดการติดต่อสื่อสารกับเพื่อนร่วมชาติ

           ผู้นำกัมพูชามีเดิมพันที่สำคัญในการเข้าถึงประชาชนคนรุ่นใหม่และผู้ใช้โซเชียลมีเดีย เพราะเป็นผู้ที่เข้าสู่โลกออนไลน์หลังจากที่ฝ่ายค้านนั้นใช้สื่อโซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ในการปลุกระดม เพิ่มจำนวนเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งดังที่เห็นในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อปี 2556 เมื่อนายสม รังสี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านที่มียอด “ไลค์” ในหน้าเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของตนเองกว่า 2 ล้านไลค์ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนท่วมท้น แต่ก็ถูกปฏิเสธผลการเลือกตั้งในครั้งนั้นไป ทำให้นายสม รังสี ไม่ได้เข้ามาบริหารประเทศ และต้องหลบลี้หนีภัยการเมืองไปยังต่างประเทศ

           เวลาแห่งการช่วงชิงมวลชนของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน จากนายสม รังสี เหลืออีกราว 2 ปีเศษ ก่อนที่จะถึงการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าที่จะมีขึ้นในปี 2561 และดูเหมือนว่าเกมการช่วงชิงมวลชนในโลกออนไลน์นั้นจะรุนแรงยิ่งขึ้น ดังที่นายเซบาสเตียน สแตรนจิโอ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีฮุน เซน วิจารณ์ว่าการที่ผู้นำกัมพูชาให้การยอมรับเทคโนโลยีเข้ามาในชีวิตนั้นเป็นการแสดงให้เห็นถึง “กลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น” เพื่อรักษาฐานอำนาจของตนเองในช่วงทศวรรษหน้า

           ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับผู้นำกัมพูชายังให้ความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า นับจากนี้ สมรภูมิการเมืองของกัมพูชาย้ายจากโลกแห่งความจริงเข้าสู่โลกเสมือนจริงของอินเทอร์เน็ตแล้ว

           อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ที่ถูกติดตรึงไว้ด้วยภาพของผู้นำเผด็จการยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่ในกลุ่มผู้ใช้สื่อโซเชียลมีเดีย โดยในหน้าเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน มีข้อความภาษาอังกฤษจากผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งกล่าวว่า “เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมสำหรับอดีตผู้ก่อความวุ่นวาย แต่ (การใช้สื่อออนไลน์ของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน) ก็ไม่ได้เป็นเรื่องพิเศษสำหรับคนรุ่นใหม่ของกัมพูชา”

           ในอีกฟากหนึ่ง สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานโดยอ้างการสัมภาษณ์นายเคีีย ไน วัย 26 ปี นักศึกษาระดับอุดมศึกษาที่กล่าวว่า บรรดาเพื่อนๆ ของตนเองเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อนายกรัฐมนตรีฮุน เซน หลังจากได้รับข่าวสารเกี่ยวกับผู้นำประเทศทางสื่อออนไลน์ ในกลุ่มเพื่อนๆ 10 คน มีถึง 7 คนที่หันมาให้การสนับสนุนนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยมีทัศนคติที่เลวร้ายต่อผู้นำคนนี้

           ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ก็ยังใช้กฎหมายควบคุมการใช้สื่อออนไลน์เป็นเครื่องมือในการกดดันฝ่ายค้านและฝ่ายต่อต้านตนเอง โดยรัฐบาลกัมพูชากำลังเร่งออกกฎหมายอาชญากรรมไซเบอร์ เพื่อเพิ่มอำนาจการจัดการควบคุมการใช้งานสื่ออินเทอร์เน็ตมากขึ้น ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลกัมพูชาจะใช้เล่นงานฝ่ายค้านและฝ่ายตรงข้าม

           ดังเช่นที่ทีมงานด้านสื่อโซเชียลม่ีเดียของนายสม รังสี ถูกตั้งข้อหาก่ออาชญากรรมด้วยการรณรงค์ให้เกิดการ “ปฏิวัติสี” ภายในประเทศ ส่วนทีมงานของฝ่ายค้านอีกรายหนึ่งก็ถูกตั้งข้อหา “ดูหมิ่นและเป็นภัยคุกคาม” บนหน้าเพจเฟซบุ๊กของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ซึ่งอาจจะต้องโทษจำคุกสูงสุด 2 ปี

           การเข้าสู่โลกออนไลน์ของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน เป็นไปเพื่อการสืบต่ออำนาจการปกครองประเทศ และเป็นการใช้งานอย่างมีชั้นเชิง ทั้งการนำเสนอภาพที่ดีของตนเองเข้าสู่สายตาคนรุ่นใหม่ที่เป็นฐานการเลือกตั้งสำคัญ ขณะเดียวกันก็ใช้กฎหมายควบคุมความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม คงไม่มีอะไรจะอธิบายได้ดีไปกว่าสุภาษิตที่ว่า “ขิงแก่นั้นยิ่งเผ็ด” จริงๆ