
กรธ.เคาะคุณสมบัติองค์กรอิสระเพิ่มกกต.เป็น7คน
กรธ.เคาะคุณสมบัติองค์กรอิสระ เพิ่มกกต.เป็น 7 คน ทุกหน่วยงาน ห้ามข้ามองค์กร 'อุเทน'ติง'มีชัย'อย่าใส่เงื่อนไขขจัดนักการเมือง
15ม.ค.59 นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) กล่าวถึงวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ว่า ที่ประชุมได้ปรับเปลี่ยนวาระดำรงตำแหน่งของนายกฯไม่เกิน 8 ปี ซึ่งไม่จำเป็นต้องอยู่ในตำแหน่งติดต่อกันก็ได้ สำหรับหมวด 9 องค์กรอิสระ กรธ.ได้วางหลักการเพื่อให้องค์กรอิสระทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฏหมาย ดังนั้นองค์กรอิสระที่จัดตั้งขึ้นต้องมีคุณสมบัติที่เป็นองค์กรที่เชื่อถือได้ และไม่มีบุคคลที่มีคุณสมบัติต้องห้าม โดยคุณสมบัติขององค์กรอิสระจะเน้นองค์ประกอบที่เป็นคุณสมบัติของรัฐมนตรี บวกกับความรู้ความสามารถ และประสบการณ์
นายอุดม กล่าวต่อว่า องค์กรอิสระจะใช้วิธีการสรรหา โดยคณะกรรมการสรรหา อาจประกอบด้วย 1.ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน 2.ประธานสภาผู้แทนราษฎร และ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร 3.ตุลาการในศาลปกครอง ที่ไม่ต่ำกว่าตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุด 1 คน ซึ่งมาจากการเลือกของที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด 4.ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระเลือกจากบุคคลภายนอก องค์กรละ 1 คน ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ในการสรรหากรรมการองค์กรอิสระของคณะกรรมการสรรหาต้องคัดสรรให้ได้บุคคลที่มีความรับผิดชอบสูง มีความกล้าหาญในการปฏิบัติหน้าที่ และพฤติกรรมทางจริยธรรมเป็นตัวอย่างที่ดีของสังคม โดยนอกจากการประกาศรับสมัครแล้ว ให้คณะกรรมการสรรหาสรรหาจากบุคคลที่มีความเหมาะสมทั่วไปด้วย โดยเมื่อสรรหาเสร็จแล้วจะต้องให้วุฒิสภาลงมติให้ความเห็นชอบ
นายอุดม กล่าวอีกว่า กรรมการองค์กรอิสระจะต้องเป็นคนที่คำนึงถึงมาตรฐานในการปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพ ต้องเป็นบุคคลที่มีความสุจริต เที่ยงธรรม ไม่ถูกครอบงำจากฝ่ายต่างๆ และกล้าหาญในการใช้ดุลยพินิจ ทั้งนี้ยังต้องทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ การวางมาตรฐานจริยธรรม กรธ.เห็นว่า ต้องกำหนดมาตรฐานจริยธรรมองค์กรของตนเอง รวมถึงการใช้มาตรฐานของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องให้ทุกองค์กรอิสระกำหนดรวมกัน
นายอุดม กล่าวต่อว่า ส่วนบทบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กรธ.พิจารณาองค์ประกอบ ให้มี 7 คน จากเดิมที่มี 5 คน โดยต้องประกอบด้วยบุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่จะใช้ในการบริหารจัดการ การควบคุมการเลือกตั้ง จำนวน 5 คนที่มาจากการสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา และจำนวน 2 คน มาจากผู้พิพากษาระดับหัวหน้าคณะศาลอุทธรณ์ หรือระดับอธิบดี อัยการ โดยให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฏีกาคัดเลือก และให้ดำรงตำแหน่งเพียงวาระเดียว 7 ปี
“ส่วนหน้าที่และอำนาจกกต. กำหนดให้ต้องทำหน้าที่ดูแลการจัดการเลือกตั้ง ทั้งนี้ยังต้องดูแลการตรวจสอบกรณีมีเหตุสงสัยกระทำการทุจริตเลือกตั้ง หรือเลือกตั้งที่ไม่เป็นไปตามกฎ กติกา ดูแลเรื่องออกเสียง ยังมีอำนาจกำหนดวันเลือกตั้ง และกำหนดเลื่อนวันเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการกำหนดให้ชัดเจนจากเดิมที่ให้กกต.ร่วมกับฝ่ายบริหาร” นายอุดม กล่าว
นายอุดม กล่าวอีกว่า กกต.ยังมีอำนาจที่สำคัญ คือ ระงับใช้สิทธิ์เลือกตั้งในกรณีที่ผู้สมัครรายใดมีพฤติการที่ไม่ถูกกฏหมายเลือกตั้ง กกต.มีอำนาจตัดสิทธิ์ในการรับสมัครเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการระงับชั่วคราวในการเลือกตั้งครั้งนั้นๆ แต่ถ้าเป็นการระงับถาวรยังต้องอาศัยกระบวนการทางศาล ถ้าในชั้นกกต.ระงับเฉพาะในการเลือกตั้งครั้งนั้นๆเท่านั้น การให้กกต.ให้ใบแดงกับบุคคลโดยเด็ดขาดหรือลงโทษโดยเด็ดขาดอาจไม่มีความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม กกต.จะระงับใช้สิทธิ์เลือกตั้งให้ใบแดงเฉพาะครั้งนั้น ไม่ถึงกับตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต
นายอุดม กล่าวว่า ส่วนผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้มีกรรมการจำนวนไม่เกิน 3 คน ดำรงตำแหน่ง 6 ปี และให้เลือกกันเองเพื่อเป็นประธานผู้ตรวจฯ และแม้มีคนเดียวก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ อย่างไรก็ตามบุคคลที่เคยเป็นองค์กรอิสระแล้วจะไม่สามารถทำหน้าที่เป็นกรรมการองค์กรอิสระอื่นได้ หมายถึง ในชีวิตหนึ่งเป็นองค์กรอิสระหรือศาลรัฐธรรมนูญได้เพียงครั้งเดียว ไม่สามารถเวียนเป็นองค์กรอิสระอื่นได้
นายอุดม กล่าวว่า หน้าที่สำคัญของผู้ตรวจฯ คือ เสนอแนะหน่วยงานของรัฐในการปรับปรุงกฏหมาย ข้องบังคับ ระเบียบ เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน และแสวงหาข้อเท็จจริงอันเนื่องมาจากไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกอำนาจหน้าที่ และเสนอแนะหน่วยงานของรัฐปฏิบัติหน้าที่ตามหมวด 6 นโยบายรัฐ ของรัฐธรรมนูญ และสามารถยื่นศาลรัฐธรรมนูญในกรณีที่พบว่าพ.ร.บ.ขัดหรือแย้ง หรือไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับการยื่นเรื่องกฏ คำสั่ง หรือบุคคลในฝ่ายปกครอง มีปัญหาด้วยชอบของกฏหมายหรือรัฐธรรมนูญ
'อุเทน'ติง'มีชัย'อย่าใส่เงื่อนไขขจัดนักการเมือง
นายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย กล่าวถึงกรณีที่ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ยังคงกำหนดที่มาของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในลักษณะการสรรหากันเองของกลุ่มต่างๆว่า กรธ.ไม่ควรใช้วิธีการมโนหรือจินตนาการไปเองในการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกติกาสูงสุดของประเทศ ว่าทำเช่นนั้นเช่นนี้แล้วจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีต ทั้งๆที่เคยคุยไว้ว่าจะสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง กลับจำกัดการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยให้คนไม่กี่คนมาสรรหา ส.ว.ที่ต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชน เข้าข่ายการวางกลไกเพื่อการผูกขาดอำนาจให้แก่คนบางกลุ่มเท่านั้น ซึ่งเป็นการย้อนยุคไปสู่ ส.ว.ลากตั้งมากกว่าจะเป็นพัฒนาการทางการเมือง และเป็นการปิดกั้นกระบวนการเรียนรู้หรือเป็นการคิดแทนประชาชน
“ในความเป็นจริงผมไม่เห็นด้วยกับการมีอยู่ของ ส.ว.ด้วยซ้ำ เพราะมองว่าที่ผ่านมามักสร้างปัญหามากกว่าสร้างประโยชน์ แต่เมื่อร่างรัฐธรรมนูญกำหนดว่าต้องมี ก็ไม่ควรสร้างมายาคติครอบงำประชาชน โดยเขียนการได้มาของ ส.ว.ในลักษณะผูกขาด อำนาจ ตั้งกติกาสร้างอำนาจให้กับตัวเอง เพื่อเข้าไปแทรกแซงการสรรหา ส.ว.ในอนาคต กรธ.ต้องทบทวนตัวเองให้สมกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.เคยประกาศว่าจะทำรัฐธรรมนูญให้เป็นสากล ที่ประชาชนต้องมีอิสระทางความคิด” นายอุเทน กล่าว
นายอุเทน กล่าวต่อว่า ส่วนข้ออ้างที่มีไม่ให้เลือกตั้ง ส.ว. เพราะกังวลว่าจะถูกฝ่ายการเมืองครอบงำนั้น ต้องถามว่ามีเครื่องการันตีอะไรที่ยืนยันว่า ส.ว.ที่สรรหามาเหล่านี้จะไม่ฝักใฝ่พรรคการเมือง เช่นเดียวกับการตั้งเงื่อนไขไม่ให้ครอบครัวของ ส.ส. องค์กรอิสระ หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาสมัครเป็น ส.ว. เพื่อป้องกันสภาผัวเมีย ก็เป็นการจำกัดสิทธิของบุคคล ทั้งนี้การกำจัดระบบอุปภัมป์นั้น ทำได้โดยการสร้างกลไกตรวจสอบให้มีประสิทธิภาพ สนับสนุนกระบวนการยุติธรรมให้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย มีการกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนและมีการบังคับใช้อย่างจริงจัง เพียงเท่านี้ไม่เฉพาะแต่ฝ่ายการเมืองเท่านั้น ทุกภาคส่วนก็จะโปร่งใสไปด้วย รวมทั้งต้องดูด้วยว่าพฤติกรรมของข้าราชการ นักวิชาการ รวมถึงองค์กรอิสระทั้งหลายก็ล้วนแต่เป็นเหตุทำให้ชาติบ้านเมืองเป็นเช่นนี้ ไม่ควรโทษเฉพาะนักการเมือง แต่สิ่งที่ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.พยายามยัดเยียดลงไปในรัฐธรรมนูญ เป็นการสร้างเงื่อนไขเพื่อควบคุมนักการเมืองมากกว่าที่จะสร้างระบบตรวจสอบที่เข้มแข็ง ซึ่งจะเชื้อแห่งความขัดแย้งในอนาคตหากมีการนำมาบังคับใช้จริงอย่างแน่นอน
“เราต้องไม่ยอมรับการครอบงำประเทศไทย ด้วยความคิดของคนพวกนี้ รุ่นนี้อีก และเขาเหล่านั้นต้องหยุดทำร้ายประเทศด้วยการสร้างมายาคติให้เกิดความเชื่อแบบผิดๆอีก ถึงเวลาที่ต้องเลิกให้คนกลุ่มนี้มีบทบาทในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่อไป เพราะปล่อยไว้ก็คงไม่ผ่านประชามติ ทำให้เกิดปัญหาขึ้นอีก” นายอุเทน ระบุ.