ข่าว

ไม่หยุดนิ่งพัฒนานวัตกรรมหัวใจสำคัญของการสานต่อธุรกิจ

ไม่หยุดนิ่งพัฒนานวัตกรรมหัวใจสำคัญของการสานต่อธุรกิจ

11 ม.ค. 2559

ไม่หยุดนิ่งพัฒนานวัตกรรมหัวใจสำคัญของการสานต่อธุรกิจ : คมคิดธุรกิจนิวเจน เรื่อง ทัศน์วิมน สิงหะไชย ช่างภาพ : จุลดิศ อ่อนละมุน

            การทำธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จ นอกเหนือจากคำว่า “กำไร” แล้ว การมุ่งมั่นทำงานวิจัยและพัฒนา (R&D) ถือเป็นหัวใจหลักสำคัญในการทำธุรกิจไม่แพ้กัน ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจแล้ว ยังช่วยสร้างจุดเด่นของสินค้าให้มีความโดดเด่น สวยงามแตกต่างจากคู่แข่ง และยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้านั้นๆ อีกด้วย

            เช่นเดียวกับ บริษัท เหรียญทอง ลามิทิวบ์ จำกัด เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เกิดจากความมุ่งมั่นของทายาทรุ่นที่ 3 ของ “กุ๊ก” สุรัชนี ลิ่มอติบูลย์ ซึ่งเข้ามาช่วยกิจการของครอบครัว ซึ่งแม้ธุรกิจของครอบครัวจะถูกปูทางจากรุ่นปู่และรุ่นพ่อไว้เป็นอย่างดีก็ตาม แต่การทำธุรกิจของครอบครัวให้เติบโตอย่างมั่นคงไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก หากทายาทที่จะมาสานต่อไม่มีความมุ่งมั่น เรียนรู้อย่างจริงจังก็ยากที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจระยะยาวได้

            “Kim Pai Jin Tieng Heng” เดิมทีเป็นโรงพิมพ์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 80 ปีก่อน โดยบริษัท เหรียญทอง ลามิทิวบ์ จำกัด ถือเป็นบริษัทหนึ่งในเครือกิมไป๊ ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจการผลิตหลอดเอ็กซ์ทรูด (Extrude Tubes) และหลอดลามิเนต (Laminate) เช่น หลอดยาสีฟัน หลอดบรรจุครีม แชมพู ฯลฯ เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในประเทศที่ผลิตหลอดลามิเนตได้ และมีกำลังการผลิตสูงถึง 1,500 ล้านหลอดต่อปี เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตหลอดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

            “สุรัชนี ลิ่มอติบูลย์” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เหรียญทอง ลามิทิวบ์ จำกัด เล่าว่า ธุรกิจของกิมไป๊กรุ๊ปเริ่มมาตั้งแต่สมัยคุณปู่ ซึ่งทำธุรกิจโรงพิมพ์มาก่อน แต่พอมาถึงมือรุ่นคุณพ่อก็ได้มีการแตกแขนงธุรกิจออกมาหลายบริษัท แบ่งออกเป็นหลายผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นออฟเซต เฟล็กซิเบิล ฟิล์ม สติกเกอร์ แล้วก็หลอด ซึ่งผลิตภัณฑ์แพกเกจจิ้งหลอดก็มีหลายบริษัทด้วยกัน เรียกได้ว่า ทำแพ็กเกจจิ้งครอบคลุมทุกประเภท ส่วนหลอดทำมาได้ 20 ปีแล้ว โดยหลอดที่ทำอยู่คือหลอดลามิเนต ซึ่งบริษัททำหลอดยาสีฟันทั้งหมดในประเทศไทยเกือบทุกยี่ห้อ แล้วก็ส่งออกไปอีก 30-40 ประเทศทั่วโลก

            สุรัชนี บอกว่า ตอนเข้ามาเริ่มงานครั้งแรกเมื่อปี 2551 ไม่มีความมั่นใจในการทำธุรกิจเลยเพราะสมัยที่เคยทำงานอยู่บริษัทเอกชนจะมีเจ้านายที่ชัดเจน แต่พอมาทำงานในบริษัทที่เป็นธุรกิจของครอบครัวคุณพ่อบอกว่าให้ลองดูจะทำอะไรก็ทำ ซึ่งเผอิญในช่วงนั้นเป็นช่วงที่บริษัทต้องเข้าไปดิวงานกับบริษัทในภูมิภาค ซึ่งจะต้องไปประมูลงานที่ประเทศสิงคโปร์ จึงได้มีโอกาสได้ไปพรีเซ้นส์งานที่นั่น ซึ่งในการประมูลงานที่นั่นจะได้งานในหลายประเทศ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจตั้งแต่นั้นมา และต่อมาก็ได้เริ่มศึกษางานเรียนรู้อย่างจริงจังควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้กับบริษัท

            สุรัชนี บอกว่า สิ่งที่คุณพ่อสอนมาโดยตลอด คือ เรื่องการทำอาร์แอนด์ดี ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีอยู่ตลอดเวลา และไม่ให้คิดถึงเรื่องกำไรเพราะถ้าผลิตภัณฑ์ดีลูกค้าก็จะมาหาเราเอง ส่วนกำไรเป็นเรื่องตามมาทีหลัง ดังนั้นจะต้องทำให้ลูกค้าชอบของของเราที่มีคุณภาพดีที่สุด ของไม่ดีห้ามส่ง ซึ่งถือเป็นหัวใจที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคโลกาภิวัตน์ที่มีคู่แข่งในตลาดค่อนข้างมาก ทำให้การทำธุรกิจมีความลำบากมากขึ้น และยังเป็นโจทย์ที่ท้าทายเพราะจะต้องแข่งกับบริษัทใหญ่ 2 รายในโลก ดังนั้นจะต้องรักษาตัวเองหรือพัฒนาตัวเองเพื่อให้สามารถแข่งขันสู้กับบริษัทระดับโลกได้

            สุรัชนี บอกว่า ในระยะแรกของการทำธุรกิจนั้น บริษัทได้ซื้อ Knowhow มาจากประเทศญี่ปุ่น ต่อมาได้พัฒนาคิดค้นนวัตกรรมการทำหลอดด้วยเทคโนโลยี “Invisible side seam” ซึ่งเป็นนวัตกรรมฟิล์มและการหลอมที่ใช้ในการประกอบแพ็กเกจให้สามารถขึ้นรูปหลอดลามิเนต โดยเชื่อมรอยต่อให้มีความแข็งแรง เรียบเนียน สวยงาม และมีการเพิ่มลูกเล่นในการทำหลอดได้ตามที่ลูกค้าต้องการได้ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดต้นทุนแล้ว และยังทำให้สินค้าที่ผลิตให้แก่ลูกค้ามีภาพลักษณ์ที่เป็นพรีเมียมมากขึ้น

            “หลอดยาสีฟันในโลกนี้มีบริษัทใหญ่ในโลกผลิตอยู่ 2 ราย ผลิตปีละ 5,000-6,000 ล้านหลอด แต่ของเรากำลังการผลิตอยู่ในระดับขนาดกลาง ซึ่งเหรียญทองเป็นหนึ่งใน 3 บริษัท ที่ทำหลอดตอนนี้มีกำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านหลอด ซึ่งในโลกมีผู้ผลิตทำหลอดพวกนี้ไม่เยอะมาก เราจึงเป็นที่รู้จักอย่างดีเนื่องจากใช้นวัตกรรมมาผลิตสินค้า ในตลาดทั้งคนผลิตเครื่องก็ตาม หรือคนที่ทำเหมือนเราก็ตาม หรือแม้ทั้งยูสเซอร์บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นพวกยาสีฟัน ครีมล้างหน้าหรือแชมพูจะรู้จักเราหมดว่าผลิตหลอดที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ มากที่สุด”

            ดังนั้น ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา บริษัทจึงได้มีการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ อยู่ตลอดเวลา โดยการซื้อเครื่องมือเข้ามาพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ในรูปแบบใหม่ๆ ขึ้น และคู่แข่งในโลกไม่สามารถทำได้ ซึ่งหลอดที่วางขายอยู่ในท้องตลาดจะมีด้วยกันอยู่ 2 แบบ คือแบบที่เรียกว่าหลอดเอ็กซ์ทรูด คือหลอดที่นำพลาสติกใส่เข้าไปในเครื่อง แล้วดึงออกมาเป็นหลอดๆ แต่หลอดที่บริษัททำจะเป็นหลอดลามิเนต ซึ่งจะต้องมีการทำเป็นฟิล์มก่อน หรือทำฟิล์มชั้นนอกและชั้นในมาแปะติดกันเพราะฉะนั้นขั้นตอนจะมีความยุ่งยากกว่า

            สำหรับข้อดีของหลอดลามิเนตจะมีลูกเล่นที่เยอะกว่า ซึ่งจะเห็นได้จากตามท้องตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ ซึ่งวัสดุที่ใช้ในการทำหลอดจะมีความเงามันที่เรียกว่า “Metallic look” ส่วนหลอดเอ็กซ์ทรูดเป็นหลอดอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งต้องใช้พลาสติกที่มีจุดหลอมเหลวใกล้ๆ กัน หลอมออกมาให้เป็นหลอดๆ เพราะฉะนั้นในการผลิตจึงไม่สามารถใส่วัสดุแปลกปลอมเข้าไปได้ ในขณะที่หลอดลามิเนตจะเหมือนการทำแซนด์วิชที่จะใส่ไส้อะไรก็ได้ หรือต้องการความพิเศษที่ไม่เหมือนใครในโลกนี้เราก็ทำให้แก่ลูกค้าได้

            ปัจจุบันเหรียญทอง ลามิทิวบ์มีทีมค้นคว้าวิจัยและพัฒนากว่า 10 คน ซึ่งบริษัทได้ให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยต่อลูกค้าและผู้อุปโภคอย่างเคร่งครัด โดยจะมีการเก็บตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเป็นเวลาหลายปีในสารเคมี เพื่อวิจัยทดสอบเก็บข้อมูลเพื่ออ้างอิงกับลูกค้าได้ ส่วนโรงงานที่ผลิตมีอยู่ด้วยกัน 2 แห่งคือ ที่นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ ซึ่งมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1,200 ล้านหลอด มีคนงานอยู่ประมาณ 1,400 คน และอีกแห่งในประเทศเวียดนามมีกำลังผลิตประมาณ 300 ล้านหลอด มีคนงานราว 250 คน

            “จุดเด่นของของสินค้าอยู่ที่นวัตกรรมเพียงอย่างเดียว ซึ่งการลงทุนอาร์แอนด์ดีอยู่ในระดับที่เยอะพอสมควร ซึ่งหากซัพพลายเออร์มีการออกเม็ดพลาสติกใหม่ๆ ก็จะซื้อนำมาทดลองงานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่งในประเทศไทย และรอบๆ เออีซี ซึ่งถือเป็นบริษัทขนาดกลางของโลก แต่หากเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่ จะมีกำลังผลิตผลิตอยู่ที่ 5,000-6,000 ล้านหลอดต่อปี"

            นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนเครื่องจักรใหม่ทุกปี ปีที่ผ่านมาเราลงทุนไปแล้วหลายร้อยล้านบาท ตอนนี้มีดิจิทัลปริ๊นติ้ง ซึ่งเป็นการพิมพ์ที่ไม่มีเพลท สามารถพิมพ์เบอร์หนึ่งเบอร์สองสามสี่ไม่เหมือนกันได้ ข้อดีคือพิมพ์น้อยๆ ได้เปลี่ยนอาร์ตเวิร์กทุกชิ้นได้ ซึ่งเรียกดิจิทัลปริ๊นติ้ง มีลักษณะการทำงาน เหมือนปริ๊นเตอร์ เป็นระบบพิมพ์แบบใหม่ที่วงการฮิตมาก ซึ่งบริษัทในเครือมีใช้แล้วเช่นกันเพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องลงทุนอยู่ตลอดเวลา เมื่อลูกค้าถามถึงปุ๊บก็ตอบได้ทันทีว่ามีแล้ว ซึ่งต้องทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าเราใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุด และพยายามพิมพ์หลอดให้มีหน้าตาหรือออกแบบลูกเล่นใหม่ ๆ เพื่อไปนำเสนอลูกค้า ซึ่งออเดอร์ที่เข้ามาจะมีตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักแสนต่อครั้ง

            “ทุกๆ ครั้งจะมีความภาคภูมิใจมากเมื่อลูกค้ากลับมาบอกว่าสินค้าขายดีมากเพราะหลอดหรือแพ็กเกจจิ้ง ซึ่งเราจะบอกลูกค้าตลอดว่าไม่ใช่เวลามาหาเราแล้วบอกว่าทำแบบนี้สิ เราไม่ชอบแบบนั้น อยากให้เขามาหาเราแล้วบอกโจทย์กว้างๆ เป็นแบบนี้ หรือสามารถทำได้มากกว่าที่ลูกค้าต้องการอีก ซึ่งเราจะแนะนำแบบนี้เพราะเราซื้อเครื่องใหม่ตลอดเวลา ไม่ว่าเทคโนโลยีของโลกออกมาเมื่อไรจะมีหมด ทั้งเครื่องพิมพ์ เครื่องทำหลอดเพื่อให้แน่ใจว่าเรามีเทคโนโลยีที่ดีที่สุด”

            สำหรับเป้าหมายการทำธุรกิจปี 2559 นั้น ได้ตั้งเป้ายอดขายจะเติบโตมากขึ้นในส่วนของหลอดที่ไม่ใช่ยาสีฟัน และมองหาลู่ทางที่จะขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ อาทิ อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มาก มีผู้ผลิตของเขาเอง ซึ่งมองว่าหลอดของเหรียญทองฯ มีคุณภาพสามารถสู้คู่แข่งได้อย่างสบาย ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับเธอว่าจะทำอย่างไรให้ไปเติบโตที่ประเทศอื่นได้ด้วยเนื่องจากหลอดยาสีฟันเป็นคอมโมดิตี้โพรดักส์ กล่าวคือ ราคาค่อนข้างถูกมาก หรือราคาที่ขายให้แก่ลูกค้าถูกบีบแล้วบีบอีก

            ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนจะผลิตหลอดในกลุ่มที่ไม่ใช่ยาสีฟัน ที่ต้องใช้นวัตกรรมมากขึ้น ซึ่งในช่วงผลิตเริ่มแรกอาจจะไม่ได้กำไรมากนักเพราะของเสียจะเยอะ แต่หากอยู่ไปนานๆ เชื่อว่าจะผลิตได้ดีขึ้น เชื่อว่าจะช่วยรักษาระดับของเสียได้ ก็จะได้ส่วนต่างมากกว่าการผลิตยาสีฟัน ซึ่งหลอดที่จะพัฒนาขึ้น หรือพัฒนาหลอดที่ใช้วัสดุแตกต่าง พอเราผลิตปุ๊บลูกค้าก็จะประทับใจ อยากจะผลิตหลอดที่มีความพิเศษ แม้ต้นทุนจะแพงกว่า แต่ลูกค้ายอมที่จะจ่ายเพราะเวลาไปอยู่บนชั้นวางสินค้าแล้วสินค้าจะมีความสวยงามขึ้น

            อย่างไรก็ตาม สุรัชนี มองว่า ในส่วนของกลุ่มหลอดยาสีฟันยอดขายคงไม่ได้โตมาก แต่ยังหวังว่ากลุ่มที่ไม่ใช่ยาสีฟันจะมีการโตมากขึ้น เหมือนกับเวลาที่ไปขายบริษัทหนึ่งก็จะมีหลายแบรนด์ ซึ่งเขาจะมีแบรนด์เมเจอร์ มีแพ็กเกจจิ้งของตัวเอง แต่เป้าหมายของเธอคือพอเข้าไปบริษัทหนึ่งแล้วอยากให้แบรนด์อื่นๆ ที่ไม่เคยใช้ของบริษัทได้เปลี่ยนมาใช้ของบริษัท ซึ่งตอนนี้ก็เกิดขึ้นบ้างแล้วสำหรับบางบริษัท และคาดว่าปี 2558 จะมียอดขายรวมทั้ง 3 บริษัทอยู่ที่ 1,400 ล้านหลอด ซึ่งเป็นไปตามเป้า

            นอกจากนี้ จากการสำรวจลูกค้าพบว่า การหันมาใช้แพ็กเกจจิ้งหลอดลามิเนตแบบนี้ช่วยผลักดันยอดขายเพิ่มขึ้นซึ่งความทนทานของหลอดต้องอยู่ได้อย่างน้อย 2 ปี หลอดทุกหลอดที่ผลิตมีการทดสอบใส่น้ำยาทิ้งไว้ในแลปหลายปี ซึ่งเราจะรู้ก่อนลูกค้าหากจะเป็นอะไร จึงไม่มีปัญหา ทั้งนี้การมุ่งเน้นในการรักษามาตรฐาน โดยมีการตรวจสอบคุณภาพในแต่ละกระบวนการผลิต ไม่ใช่แค่ตรวจสอบหลังผลิตเสร็จเท่านั้น โดยสินค้าต้องผ่านมาตรฐานไอเอสโอ, บีอาร์ซี สแตนดาร์ด ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท อาทิ คอลเกต GSK, Lion, Beiersdorf, P&G, Unilever จนบริษัทได้รางวัลซัพพลายเออร์ยอดเยี่ยมจากคอลเกตถึง 19 ปีติดต่อกัน เพราะทำการส่งสินค้าที่ไม่มีข้อบกพร่องตลอดมา และเคยได้รับได้รางวัล Zero Defects Award จากจอห์นสัน

            ล่าสุด บริษัท เหรียญทอง ลามิทิวบ์ จำกัด ได้รับรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ครั้งที่ 11 ด้วยความโดดเด่นในมิติองค์กรที่มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovative Enterprise) และการบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า (Customer-Focused Product and Service) ด้วย


พัฒนาตัวเองทุกวันยึดคุณภาพมากกว่ากำไร

            “สุรัชนี ลิ่มอติบูลย์” หรือกุ๊ก ในวัย 35 ปี ทายาทรุ่นที่ 3 ของกิมไป๊กรุ๊ป ได้เข้ามารับช่วงกิจการของครอบครัวเมื่อประมาณ 7 ปีก่อน ในบริษัท เหรียญทอง ลามิทิวบ์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตหลอดยาสีฟัน แชมพู ครีม ฯลฯ ทั้งนี้ ก่อนเข้ามารับช่วงกิจการของครอบครัว ธุรกิจของกิมไป๊กรุ๊ปมีการแตกแขนงออกเป็นหลายบริษัท ซึ่งได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี ตลอดจนนวัตกรรมในด้านการพิมพ์ และบรรจุภัณฑ์ระบบออฟเซต, ซิลล์สกรีน, การผลิตและพิมพ์หลอดลามิเนตสำหรับยาสีฟัน รวมถึงหลอดพลาสติกหลากชนิดสำหรับบรรจุภัณฑ์และเครื่องสำอาง ตลอดจนสติกเกอร์ต่างๆ ฯลฯ

            “กุ๊ก” บอกว่า หลังจากร่ำเรียนจบปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ไปทำงานด้านวิเคราะห์หลักทรัพย์ และด้านวาณิชธนกิจในบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งก่อน แต่ทำอยู่ได้ประมาณ 3 ปี ก็บินไปเรียนต่อด้านเอ็มบีเอ ที่ Kellogg ชิคาโก สหรัฐอเมริกา 2 ปี แล้วกลับมาทำงานอีกสักพักหนึ่ง จึงได้ตัดสินใจกลับมารับช่วงกิจการของครอบครัว ส่วนน้องชายก็ทำงานที่โรงงานด้วย ซึ่งจะมีการแบ่งหน้าที่กัน ส่วนลูกพี่ลูกน้องก็จะดูแลผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของบริษัทในเครือ ต่างคนต่างบริหารบริษัทของตัวเอง

            “กุ๊กเรียนวิศวะเคมีพอดี โชคดีมากที่ได้เรียนโพลิเมอร์มาเพราะธุรกิจที่ทำอยู่เกี่ยวข้องกับวัสดุเคมี และพลาสติกต่างๆ แทบทั้งสิ้น ถ้าไม่เรียนมาก็จะเหมือนฟังไม่รู้เรื่องเลย เป็นวิชาที่เราต้องเข้าใจและเรียนรู้เนื่องจากเวลาซื้อวัตถุดิบมาต้องนำทดลองค่าต่างๆ รวมทั้งยังสามารถนำความรู้จากการทำงานด้านไฟแนนซ์ และที่เรียนเอ็มบีเอมาใช้ประโยชน์ด้วย”

            อย่างไรก็ตาม ในการเป็นทายาทรุ่นที่ 3 แม้ทุกคนอาจจะมองว่าไม่ต้องลำบากเพราะคุณปู่และคุณพ่อปูทางธุรกิจไว้ให้แล้ว ซึ่งกุ๊กก็ยอมรับว่า เป็นความโชคดีมากที่อยู่ในบริษัทที่สร้างชื่อเสียงมาอย่างดี แต่ในการทำงานของเธอยังต้องเรียนรู้อยู่ทุกวันเพราะเรื่องพลาสติกมีความซับซ้อน เป็นความยากที่ท้าทาย จึงต้องมีความรู้เพิ่มเติมและพร้อมพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เช่น ซัพพลายเออร์อาจออกเม็ดพลาสติกตัวใหม่ หรือมีเครื่องผลิตแบบใหม่หรือเทคนิคการพิมพ์แบบใหม่เกิดขึ้นมา ซึ่งจะต้องมีการคิดค้นวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจว่าบริษัทใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุด นอกจากนี้ ยังต้องคิดค้นพัฒนาผลิตหลอดให้มีลูกเล่นใหม่ๆ รองรับความต้องการของลูกค้าให้หลากหลายด้วย

            “ก่อนหน้านั้นทำงานเรื่องการเงินก็สนุกดี คิดอยู่แล้วต้องมาสานต่อกิจการที่บ้าน ซึ่งตอนมาทำงานใหม่ๆ มาในช่วงที่บริษัทนั้นบริษัทนี้อยากสั่งของ พอมาทำงานจึงรู้สึกตื่นเต้นว่าจะทำให้ลูกค้าแบรนด์นั้นแบรนด์นี้ แม้จะเป็นช่วงที่เหนื่อยแต่มีความสุขเพราะ เป็นช่วงที่ขาขึ้น และธุรกิจเติบโต รู้สึกดีใจที่ได้มาช่วยงานด้วย ซึ่งปัจจุบันก็ยังต้องเรียนรู้งานอยู่ตลอดเวลา”

            สำหรับหลักการทำงาน กุ๊ก บอกว่า ยังยึดหลักคำสอนของพ่อมาโดยตลอด คือ ไม่ต้องสนใจเรื่องกำไรขาดทุน แต่ทำของหรือผลิตภัณฑ์ให้ดีที่สุดเพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ อยากใช้ที่สุด ส่วนเรื่องเงินจะตามมาทีหลัง ดังนั้น ต้องมุ่งมั่นพัฒนาทุกวัน อย่าคิดว่ามีดีอยู่แล้ว ต้องคิดตลอดว่าของเรายังดีไม่พอ ต้องมีการพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ทุกวันสำคัญที่สุด ต้องพัฒนาไม่หยุดนิ่ง ก้าวไปตลอด

            “เป็นเรื่องที่ถูกต้องมาก อย่างบางบริษัทเริ่มต้นมาจะทำกำไรเท่านี้แล้วก็ไปทำของที่ได้กำไรเท่านี้มา ซึ่งมันไม่ใช่ เป็นเรื่องที่สลับกัน แต่ต้องทำอย่างไรให้ของเราดีที่สุด ลูกค้าอยากใช้ที่สุด กำไรไม่ต้องพูดถึงเพราะลูกค้าจะบอกปากต่อปากก็จะมาเยอะในที่สุด บริษัทก็จะอยู่ได้เอง เราไม่ได้ตั้งเป้ากำไร แต่จะทำอย่างไรให้ของเราสวยที่สุดเป็นอันดับแรก และจุดเด่นของเราอยู่ที่การทำนวัตกรรมช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าได้อยู่แล้ว”